การแข่งขันที่ดุเดือดและความท้าทายทางเศรษฐกิจได้บีบให้ Samsung ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ จำต้องสิ้นสุดการผลิตโทรศัพท์มือถือในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในเดือนมิถุนายนเพิ่งลดกำลังการผลิตที่โรงงานทางตอนใต้ของเมืองฮุ่ยโจว และระงับโรงงานอีกแห่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
การปิดโรงงานในครั้งนี้เป็นการย้ำภาพการแข่งกันที่รุนแรงในแดนมังกรได้เป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งยักษ์ใหญ่จากแดนโสมเคยครองส่วนแบ่งมากถึง 15% ในช่วงกลางปี 2013 ก่อนที่จะถูกชิงไปจนเหลือเพียง 1% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019
แม้ว่า ณ วันนี้ Samsung จะเป็นเบอร์ 1 ของตลาดสมาร์ทโฟนโลกด้วยส่วนแบ่งล่าสุด 22.7% ในไตรมาส 2 ปีนี้ โดยตัวเลขมาจาก IDC แต่ในแผนดินใหญ่ ยักษ์แดนกิมจิต้องดิ้นรนมาหลายปีเพื่อสู่กับเจ้าถิ่นอย่าง Huawei หรือ Xiaomi ซึ่งแม้จะใช้กลยุทธ์ลดราคาก็ยังไม่ได้ผล
เหตุผลคือผู้ซื้อโทรศัพท์ราคาประหยัดมีแนวโน้มที่จะซื้อจากแบรนด์จีนเป็นหลัก ในขณะที่ลูกค้าระดับ Hi-End มักจะเลือก Apple และ Huawei เข้าวินมาเป็น 2 อันดับแรก ส่วนเซกเมนต์กลางซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ Samsung ถนัดก็ไม่เหลือที่ว่างให้มากนัก และสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy A Series ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักสำหรับสถานการณ์นี้
Samsung ไม่ได้ให้เหตุผลที่แน่ชัดถึงการปิดโรงงานในครั้งนี้ ทั้งยังปฏิเสธที่จะระบุกำลังการผลิตของโรงงานแห่งนี้ซึ่งสร้างในปี 1992 รวมไปถึงจำนวนพนักงาน แต่สื่อเกาหลีใต้รายงานว่ามีพนักงาน 6,000 คนและมีกำลังผลิตได้ 63 ล้านเครื่องในปี 2017
เชื่อกันว่าเบื้องหลังที่ทำให้ Samsung ต้องถอดทัพการผลิตโทรศัพท์มือถือออกจากจีนคือต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น รวมไปถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และไม่ได้มีเพียง Samsung แต่ Sony เจ้าอารยธรรมจากแดนซามูไร ยังกล่าวอีกว่ากำลังปิดโรงงานสมาร์ทโฟนในปักกิ่งและจะผลิตสมาร์ทโฟนในประเทศไทยเท่านั้น เหลือเพียง Apple เท่านั้นที่ยังปักหลักผลิตในจีนต่อไป
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Samsung ซึ่งผลิตโทรศัพท์มือถือหลักร้อยล้านเครื่องต่อปีได้ย้ายฐานการผลิตสมาร์ทโฟนไปยังประเทศที่ต้นทุนต่ำ เช่น อินเดียและเวียดนาม ที่ต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตสมาร์ทโฟนระดับโลกสำหรับ Samsung โดยมีพนักงานประมาณ 2 แสนคนในเวียดนาม อีกทั้งที่นี่ยังยังทำหน้าที่เป็นที่หลบภัยจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอีกด้วย
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
