ตลอดเวลาที่เริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุ 15 ปี ชื่อของ ตั๊ก-บงกช เบญจรงคกุล ก็วนเวียนอยู่ในทำเนียบดาราที่มีข่าวคราวออกมาให้เราได้รับทราบกันมากที่สุดคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายว่าหลายเรื่องที่ได้ยินกลับเอนเอียงไปที่ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว ความรัก ความผิดหวัง มากกว่าผลงานการแสดงที่เธอตั้งใจฝากเอาไว้ จนเรียกได้ว่าเรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตั๊กมากกว่ารู้จักผลงานการแสดงของเธอด้วยซ้ำ
แต่ถึงแม้ว่าวงการบันเทิงจะสร้างรอยแผลในชีวิตไว้ให้มากเท่าไร แต่เธอก็ยังรักและคิดจะตอบแทนบุญคุณให้กับวงการที่สร้างเส้นทางให้เธอมีทุกอย่างในวันนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งวันที่เติบโตสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ตั๊กค่อยๆ ลดบทบาทด้านการแสดงและเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้เล่าเรื่อง โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การพยายามสร้างภาพยนตร์ใหม่ๆ ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด
หลังจากฝากผลงานในฐานะผู้กำกับร่วมในโปรเจกต์ ปายอินเลิฟ ในปี 2552 การชิมลางเป็นผู้กำกับหนังยาวเต็มตัวกับเรื่อง นางฟ้า ในปี 2556 วันนี้เธอพร้อมแล้วที่จะนำเสนอ Sad Beauty เพื่อนฉัน…ฝันสลาย ผลงานชิ้นใหม่ที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงและคำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนสนิท ก่อนที่เพื่อนคนนั้นจะจากเธอไปตลอดกาล
ถ้าพูดกันในเรื่องผลงานของเธอ เราอาจต้องเฝ้าดูพัฒนาการของผู้กำกับสาวมือใหม่คนนี้กันต่อไปในอนาคต แต่ถ้าพูดกันเฉพาะเรื่องความตั้งใจ ความรัก และความปรารถนาดีต่อวงการภาพยนตร์ เธอคงไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไปแล้ว
Sad Beauty ภาพยนตร์ที่อุทิศแด่ ‘เพลง’ เพื่อนรัก
เริ่มต้นจากเพื่อนที่สนิทคนหนึ่งมากๆ ของตั๊ก เพื่อนคนแรกที่ตัวติดกันตลอดเวลา เขาเริ่มจากการเป็นแฟนคลับแล้วค่อยๆ เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิต คอยเป็นห่วง คอยดูแลตั๊กในทุกๆ เรื่อง ในวันที่ตั๊กทะเลาะกับแม่หรือทะเลาะกับนักข่าวหนักๆ โดนทุกคนโจมตี ก็จะมีเพื่อนคนนี้คอยให้กำลังใจและไม่เคยต่อว่าอะไรตั๊กเลย
เราสนิทกันมาก แต่ตั๊กรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่ทำไม่ดีกับเขา และเราเห็นความสำคัญของเพื่อนคนนี้น้อยเกินไป ขนาดตอนรู้ว่าเขาป่วยเป็นโรคมะเร็ง เรายังสูบบุหรี่เวลาอยู่ต่อหน้าเขาอยู่เลย จนกระทั่งถึงวันที่ต้องผ่าตัด เขาบอกตั๊กว่าคงไม่ไหวแล้ว วันสุดท้ายที่ตั๊กไปหาเขาที่โรงพยาบาล ตอนนั้นแหละที่รู้สึกว่าเรากำลังจะเสียหนึ่งในคนที่รักเรามากที่สุดไปจริงๆ แล้วคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ซึ่งมันมีเรื่องราวระหว่างทางเกิดขึ้นเยอะมาก มีหลายๆ คำพูดของเขาที่ตั๊กจดเอาไว้ในไดอะรีส่วนตัว แล้วบอกเขาว่าเรื่องของพวกเราน่าจะเอาไปทำเป็นหนังเนอะ ซึ่งเขาเห็นด้วย เลยสัญญากับเขาไว้ว่าจะทำตามนั้นให้ได้ ก็เลยเริ่มต้นคิดจะทำเรื่องนี้ตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว แต่ติดปัญหาหลายๆ อย่างจนเพิ่งได้มาเริ่มทำเรื่องนี้จริงๆ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
สั่งสมประสบการณ์เพื่อรอวันทำสัญญาให้เป็นจริง
พอรู้ตัวว่าชอบเล่าเรื่องและมีเรื่องที่อยากเล่า สิ่งต่อมาคือตั๊กต้องมีประสบการณ์มากกว่านี้ แล้วโชคดีได้โอกาสจากพี่ปื๊ด-ธนิตย์ จิตนุกูล ให้มาเป็นผู้กำกับร่วมในโปรเจกต์ ปายอินเลิฟ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นทำให้รู้ทันทีว่าการทำหนังเหนื่อยมาก เพราะเราเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย เราเป็นแค่เด็กรุ่นใหม่ที่พี่ปื๊ดส่งมาให้แค่กล้อง 1 ตัวกับไมค์บูม ซึ่งก็ต้องต่อคิวใช้กับผู้กำกับร่วมคนอื่น ถ้าเป็นนักแสดง หน้าที่ของเราคือทำการบ้านแล้วออกไปถ่ายทำให้ดีที่สุด แต่พอเป็นผู้กำกับ มันมีปัญหาให้จัดการมากมายในทุกๆ วัน แต่พอผ่านมาได้ เห็นภาพในหัวของเราออกมาเป็นภาพจริงๆ ซึ่งอาจจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ในความรู้สึกของเรามันสะใจมากที่ได้ทำหนังเรื่องหนึ่งออกมา
หลังจากนั้นก็เริ่มโตขึ้นกับเรื่อง นางฟ้า เป็นหนังยาวเรื่องแรกในชีวิตที่ตั๊กเริ่มต้นโปรเจกต์ด้วยตัวเอง หานายทุนเอง และได้พี่วิโรจน์ ศรีสิทธิ์เสรีอมร (ผู้กำกับละครเรื่อง สงคราม 9 ทัพ) มาช่วยเขียนบทและกำกับร่วม ก็เจอปัญหาอีกต่างๆ นานา ได้เข้าใจหัวอกของคนที่ต้องบริหารจัดการเงินทุกอย่าง ต้องคิดทุกอย่างรัดกุม ได้หนังออกมาอย่างที่เราพอใจ แต่เรื่องรายได้ก็ไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง
ถึงจะผิดหวังมากแค่ไหน แต่ตั๊กไม่เคยคิดที่จะเลิกทำหนังเลยนะ ก็ต้องกลับมานั่งทบทวนตัวเองเหมือนกันว่าเรามีข้อผิดพลาดตรงไหน หาทางอุดช่องโหว่ และทำหนังเรื่องต่อไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนองค์ประกอบทุกอย่างประจวบเหมาะ ก็เลยหยิบโปรเจกต์ที่เคยสัญญากับเพื่อนเอาไว้มาสร้างในตอนนี้
เรียนรู้ เปลี่ยนแปลง เพื่อผลิตผลงานที่ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เรียนรู้ตลอดระยะเวลาการทำหนังคือทำอย่างไรให้หนังไปถึงคนดูได้มากขึ้น อย่าง นางฟ้า ก็จะเห็นว่ามันค่อนข้างเป็นหนังนอกกระแสที่มีคนเข้าถึงได้น้อย แต่ปัญหาของตั๊กคือไม่อยากเปลี่ยนแปลงสไตล์ของตัวเอง ซึ่งหนังที่อยากทำมันก็จะค่อนข้างเฉพาะกลุ่มพอสมควร อย่างเรื่อง Sad Beauty ที่คิดไว้ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ จะเป็นเรื่องของเพื่อนสองคนแค่นั้น ซึ่งมันไม่น่าจะประสบความสำเร็จในวงกว้างได้ เราเลยเอาเรื่องนี้มาปรับใหม่ สไตล์กับเนื้อเรื่องหลักยังเหมือนเดิม แต่เพิ่มส่วนที่เป็นงานทริลเลอร์ ใส่การฆาตกรรมให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ในส่วนที่เราไม่ถนัดก็ได้พี่โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ มาช่วยทำงานทริลเลอร์ให้สมจริง ส่วนพาร์ตความสัมพันธ์ของตัวละคร ตั๊กเป็นคนจัดการเองทั้งหมด
แรงบันดาลใจที่อยากส่งต่อ แลกมาด้วยความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ
หนังเรื่อง Sad Beauty ตั๊กเป็นนายทุนเอง จากตอนแรกวางงบไว้แค่ 8 ล้านบาท สุดท้ายมาจบที่ 19 ล้านบาท ซึ่งหลายคนก็ถามตลอดว่าจะมาทำแบบนี้ทำไม อย่างตั๊กอยู่เฉยๆ ก็สบายอยู่แล้ว แต่ตั๊กคิดว่าการทำหนัง การลงทุนตรงนี้ มันมีคุณค่าที่เราอยากนำเสนอมันออกมา
โอเค ในแง่ตัวเงินมันอาจไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ แต่ในแง่ชิ้นงาน ตั๊กเชื่อว่ามันจะสอนและเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวตั๊กรวมทั้งหลายๆ คนได้อีกมาก กล้าพูดได้ว่าตั๊กรักภาพยนตร์ไทยมาก เพราะตั๊กเติบโตมากับมัน มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะภาพยนตร์ เราอยากสร้างผลงานออกมาให้อย่างน้อยมีคนรุ่นใหม่ๆ เห็นว่า ขนาดคนอย่างตั๊กที่หลายคนแค่เห็นภาพลักษณ์ก็ชี้หน้าด่าแล้วว่าไม่มีทางทำหนังได้หรอกก็ยังสามารถทำหนังของตัวเองขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องทำได้เหมือนกัน
และต้องบอกก่อนนะคะว่าเป็นตั๊ก บงกช ก็ไม่ได้ทำหนังง่ายแบบที่หลายคนคิด ตั๊กรู้คุณค่าของเงิน เพราะตั๊กก็เคยต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวมาก่อน ถึงแม้วันนี้จะมีสามีคอยซัพพอร์ต แต่เราก็ยังไม่ลืมว่าเงินมันหามาได้ยากขนาดไหน ขนาดเงิน 10,000 บาทหายยังเครียดแทบตาย แล้วนี่คือเงิน 19 ล้านบาทที่อาจหายไปด้วย พูดเหมือนเป็นลางเลยเนอะ (หัวเราะ) ยิ่งลงทุนเยอะก็ยิ่งต้องคิดเยอะ มีเงินเยอะแค่ไหนก็ยังต้องจัดการปัญหาเรื่องเงิน เรื่องฟ้าฝน สถานการณ์ และปัจจัยต่างๆ ที่พร้อมจะสร้างความลำบากให้เราได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นเงินอาจช่วยอำนวยความสะดวกได้ส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เราผ่านปัญหาทุกอย่างมาได้คือใจของเราล้วนๆ
หยุดรับงานแสดง เพราะไม่อยากให้ลูกเข้าใจผิด
มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วตลกมาก คือลูกของตั๊กดูเรื่อง แม่นาค 3D ที่ตั๊กเคยเล่นแล้วเขากลัวตั๊กไปเกือบอาทิตย์ พอปิดไฟนอนก็จะร้องไห้ตลอดเวลา ต้องให้ป้ามานอนด้วย เพราะไม่อยากนอนกับแม่แล้ว (หัวเราะ) ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตั๊กรู้สึกว่าตอนนี้เขาเด็กเกินกว่าที่จะแยกแยะอะไรได้ ไม่ใช่แค่ตัวละครที่เราได้รับ แต่หมายถึงฟีดแบ็กทุกด้าน ทุกเรื่องในปัจจุบันที่ทุกคนพร้อมจะโจมตีและคอมเมนต์ร้ายๆ กันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในตอนนี้เลยคิดว่าจะหยุดรับงานแสดงแล้วทำแต่งานเบื้องหลังไปก่อน รอให้เขาโตพอจะแยกแยะอะไรได้มากกว่านี้ และถ้ายังมีคนให้โอกาสค่อยกลับมารับงานแสดงอีกครั้งหนึ่ง
เป้าหมายที่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่เข้าวงการเพราะต้องการหาเงินเลี้ยงครอบครัว สู่การสร้างผลงานเพื่อคนอื่น
ยอมรับว่าจุดเริ่มต้นของตั๊กในวงการนี้คือหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว นั่นคือเหตุผลหลักที่ทำให้ตั๊กอยู่ในวงการมาโดยตลอด ผ่านทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี มีงอแง ไม่เข้าใจ สงสัยว่าโลกที่ฉันยืนอยู่มันคืออะไร ทำไมฉันต้องมาตอบคำถามนักข่าว ทำไมต้องมีคนสนใจเรื่องส่วนตัวของเราตลอดเวลา แต่ด้วยความที่เป้าหมายเราชัดเจน ทำให้เราอดทนและผ่านทุกเหตุการณ์มาได้ด้วยความเข้าใจ ซึ่งต้องขอบคุณตัวเองในตอนนั้นมากๆ ที่อดทนจนผ่านมาได้ถึงทุกวันนี้
การเป็นดาราอาจมีหลายเรื่องที่ทำให้ตั๊กไม่พอใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเป็นดารา ทำให้ตั๊กได้เป็นนักแสดง ได้มีผลงานดีๆ ออกมาหลายเรื่อง ได้เงินมาหาเลี้ยงครอบครัวแบบที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นตั๊กเป็นหนี้บุญคุณวงการนี้มากๆ พอในวันนี้เรื่องเงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่เรายังอยากตอบแทนวงการนี้อยู่ ก็คิดว่าอยากสร้างผลงานที่ดีออกมาเรื่อยๆ เราอยากทำหนังที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนได้เหมือนที่ ไอ้ฟัก หรือหนังอย่าง 15 ค่ำ เดือน 11 ทำได้ ก็ไม่รู้นะว่าหนังของตั๊กจะทำแบบนั้นได้จริงๆ หรือเปล่า แต่อย่างน้อยตั๊กก็ตั้งใจว่าจะทำหนังทุกเรื่องด้วยความรักและความปรารถนาดีแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ
รวมทั้งอีกโปรเจกต์ที่ตั๊กกำลังเริ่มต้นและคิดว่าจะทำอย่างจริงจังในอนาคต คือเป็นนายทุนให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย มีความฝัน แต่ขาดโอกาสในการสร้างผลงานของตัวเอง ตอนนี้ก็มีคุยกันอยู่ประมาณ 2-3 คน ตั๊กเชื่อในพลังของพวกเขา และอยากเป็นกำลังสำคัญที่จะสนับสนุนให้เขาสร้างผลงานดีๆ ออกมาให้กับวงการภาพยนตร์ไทยต่อไปเรื่อยๆ หวังว่าคงจะมีโอกาสเห็นโปรเจกต์แบบนี้เกิดขึ้นมาในเร็วๆ นี้
Photo: ภิญโญ อยู่ป้อม
- Sad Beauty เล่าเรื่องราวการเดินทางของสองเพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก คนหนึ่งคือนางแบบสาวที่ใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสาร อีกคนหนึ่งคือเพื่อนผู้แสนดีที่คอยสนับสนุนอยู่ไม่ห่าง และพร้อมที่จะเข้าใจความไร้เหตุผลของอีกคนหนึ่งอยู่เสมอ จนมาถึงจุดที่พลิกผัน เมื่อวันหนึ่งโรคร้ายเข้ามาเยือนเพื่อนผู้แสนดี พร้อมกับเหตุการณ์บางอย่างที่ทั้งสองต้องพยายามปกปิดเหตุการณ์ที่ทั้งสองร่วมกันทำไว้ เพราะถ้ามีใครรู้ ชีวิตของเธอสองคนจะพังลงในพริบตา
- Anaconda คือหนังเรื่องแรกที่ตั๊ก บงกช ได้ดูในโรงภาพยนตร์ตอนอายุ 7 ขวบ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหลงรักวงการภาพยนตร์มาจนทุกวันนี้ “พูดได้เลยว่านอกจากคำสอนของคุณแม่และการออกไปใช้ชีวิตจริง ก็มีการดูหนังนี่แหละที่เป็นเครื่องมือที่ทำให้ตั๊กเรียนรู้ความเป็นไปของมนุษย์และโลกใบนี้มากที่สุดแล้ว”