วันนี้ (19 กันยายน) ปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดบ็อนเตียย์เมียนเจ็ยของกัมพูชา เพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายและไม่เป็นมิตรของพลเรือนและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 16-17 กันยายนที่ผ่านมา
ในหนังสือระบุถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่มีพลเรือนกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ซึ่งเป็นอธิปไตยของไทย โดยพยายามรื้อถอนรั้วลวดหนามที่ฝ่ายไทยวางไว้เพื่อป้องกันตัวเอง นอกจากนี้ยังใช้ไม้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทยและขโมยทรัพย์สินของทางราชการ ทั้งที่ในพื้นที่นั้นมีทหารกัมพูชาอยู่ แต่กลับไม่เข้าห้ามปรามการกระทำของพลเรือน
สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นในวันที่ 17 กันยายน เมื่อพลเรือนกัมพูชาประมาณ 200 คนได้บุกรุกเข้ามาในพื้นที่เดิมอีกครั้ง เข้ารื้อถอนรั้วลวดหนามและใช้ไม้ ท่อนเหล็ก รวมถึงก้อนหินทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทยที่เข้าไปห้ามปราม จนส่งผลให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหลายราย ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในการป้องกันตัวอย่างเหมาะสม และถึงแม้จะมีการแจ้งให้ทหารกัมพูชาเข้ามาระงับเหตุ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ
นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ สระแก้วยังได้ประท้วงการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดบ็อนเตียย์เมียนเจ็ยและคณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) ฝ่ายกัมพูชา เดินทางเข้ามาในดินแดนไทยโดยพลการโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ซึ่งถือเป็นการละเมิดเงื่อนไขของคณะ IOT ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายจะต้องไม่เข้าสู่ดินแดนของประเทศคู่กรณี อีกทั้งยังถือเป็นการแทรกแซงปัญหาชายแดนที่ควรอยู่ภายใต้อำนาจของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (GBC)
จากการกระทำทั้งหมดที่ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยไทย ฝ่าฝืนกฎหมายอาญาไทย และไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงทวิภาคี จังหวัดสระแก้วจึงได้เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการ ดังนี้ ยุติการกระทำที่ผิดกฎหมายของพลเรือนในดินแดนไทยทันที, ให้ทหารกัมพูชาควบคุมพลเรือนของตนไม่ให้ละเมิดกฎหมายไทย, งดเว้นการส่งเจ้าหน้าที่หรือคณะ IOT เข้ามาในดินแดนไทยโดยพลการ, และเคารพกลไกการทำงานร่วมกันของ JBC และ GBC ตามที่ได้ตกลงกันไว้
ทั้งนี้ จังหวัดสระแก้วขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมยืนยันถึงเจตนารมณ์ในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง พบว่ามีประชาชนและมวลชนประมาณ 150 คนทยอยเดินทางเข้ามาในพื้นที่ และยังพบการก่อสร้างเพิงที่พักพิงเพิ่มเติมหลายจุดโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่
