“ผมพร้อมจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยยูไนเต็ด”
สำหรับ รุด ฟาน นิสเตลรอย คำพูดของเขา – อดีตศูนย์หน้าพญายมที่รับเผือกร้อนในการเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทนที่ของ เอริก เทน ฮาก ที่ถูกปลดจากตำแหน่งออกไป ในระหว่างรอการมาถึงของ รูเบน อโมริม ว่าที่นายใหญ่คนใหม่แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด – เขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ
ในช่วงเวลา 4 นัดที่ฟาน นิสเตลรอย ได้โอกาสในการคุมทัพ แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ช่วยเปลี่ยนแปลงบรรยากาศเป็นพิษของแมนฯ ยูไนเต็ด ให้กลับมามีช่วงเวลาที่ดีและอบอุ่นได้อีกครั้ง
ในช่วงเวลานั้นเขาทำให้ทีมที่ตุปัดตุเป๋ในช่วงสุดท้ายของเทน ฮาก – ผู้ที่ชักชวนฟาน นิสเตลรอย มารับงานผู้ช่วยผู้จัดการทีมในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา – สามารถกลับมาเล่นได้ดีขึ้น ที่ถึงแม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็มากพอที่จะไม่แพ้ใครเลยในช่วง 4 นัดนั้น โดยเป็นการชนะ 3 เสมอ 1
และชัยชนะ 2 นัดในช่วงเวลานั้นคือการชนะเลสเตอร์ ซิตี้ โดยที่เจ้าตัวไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นเขาจะได้โอกาสใหม่ในชีวิตอย่างรวดเร็ว
เพราะเขาไม่ได้รับโอกาสให้อยู่ในโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกต่อไป
ฤดูร้อน 2024 รุด ฟาน นิสเตลรอย ได้รับข้อเสนอที่ไม่ได้คาดฝันนัก
ในช่วงเวลานั้นแมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในสโมสร การเข้ามาบริหารของกลุ่ม INEOS หมายถึงการปรับเปลี่ยนถึงระดับโครงสร้าง ผู้บริหารหน้าเก่าหลายคนจากไป เช่นเดียวกับผู้บริหารหน้าใหม่หลายคนที่ล้วนเป็นยอดฝีมือของวงการ ถูกดึงตัวมาเพื่อกอบกู้อสูรกายสีแดงให้ตื่นจากการหลับใหล
แต่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงมากมายเหล่านั้น เอริก เทน ฮาก ยังคงอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทีมเหมือนเดิม
ความจริงแล้วการคงอยู่ของเทน ฮาก เป็นเรื่องที่หลายคนไม่ได้คาดคิด ด้วยเพราะผลงานในฤดูกาล 2023/24 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 2 ในการทำงานแบบเต็มตัวของเขาในโอลด์แทรฟฟอร์ดไม่เป็นที่น่าประทับใจ ปัญหาของยูไนเต็ดมองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล เหมือนสายฝนที่กระหน่ำลงมาบนรูหลังคาโอลด์แทรฟฟอร์ดที่รั่วโดยไม่มีใครคิดจะขึ้นไปซ่อมให้เรียบร้อย
ทีมขาดบุคลิกภาพ (Identity) ผู้เล่นไม่สามารถปรับตัวกับแท็กติกการเล่น ขาดแรงจูงใจ และไม่มีอะไรที่ชัดเจนสักอย่าง
เทน ฮาก สมควรจะต้องไปจากตำแหน่งได้แล้วใครก็รู้ แต่ผลการแข่งขันนัดสุดท้ายในฤดูกาลทำให้ฝ่ายบริหารของสโมสรที่นำโดย เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เกิดความลังเลขึ้นมา เพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดันล้มแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่ปรับร่วมเมืองที่ถูกมองว่าเหนือกว่าสุดกู่ในเกมนัดชิงเอฟเอคัพ และเป็นโทรฟีใบที่ 2 ในรอบ 2 ปีของกุนซือชาวดัตช์
แชมป์นี้นำไปสู่การประเมินผลงาน (Review) ที่ถูกดึงระยะเวลาให้ยืดยาว เพราะอีกด้านก็มีการติดต่อแคนดิเดตที่น่าสนใจหลายคน
ปัญหาคือไม่มีคนที่ยอมรับข้อเสนอของแมนฯ ยูไนเต็ดได้ และทำให้สุดท้ายทางออกที่เหลืออยู่คือการให้โอกาสเทน ฮาก ทำงานต่อไปโดยให้เหตุผลที่สวยหรูว่า “เพื่อความยุติธรรม เทน ฮาก ควรได้โอกาสในการทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้โครงสร้างใหม่ที่จะสนับสนุนการทำงานของเขา”
แต่กระนั้นก็มีข้อตกลงที่เป็นการแทรกแซงเล็กน้อยว่า เขาจะต้องหาสตาฟฟ์ชุดใหม่เข้ามาทำงานแทนชุดเดิมที่เป็นคนที่เทน ฮาก เลือกมา
หนึ่งในคนที่ถูกเลือกให้เป็นทีมงานชุดใหม่ด้วยคือ รุด ฟาน นิสเตลรอย ซึ่งแม้จะเคยคุมทีมใหญ่ในบ้านเกิดอย่างพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน มาแล้ว แต่เมื่อได้รับข้อเสนอที่ไม่คาดฝัน คำตอบจากเขาคือคำว่า “ตกลง” ทันที ไม่ต่างอะไรจากการยิงประตูโดยใช้สัญชาตญาณนำทาง
โดยบทบาทของเขาที่ได้รับมอบหมายคือผู้ช่วยผู้จัดการทีม
ขณะที่แฟนเรดอาร์มีต่างฝันว่าฟาน นิสเตลรอย จะมาช่วยสอนเทคนิคการทำประตูให้กับบรรดากองหน้าของทีม โดยเฉพาะคนที่ยังพอมีความหวังอยู่อย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ หรือ โจชัว เซิร์กซี น้องใหม่ที่ย้ายมาจากโบโลญญา
อย่างไรก็ดี ปัญหาในการทำงานของเทน ฮาก ทำให้ทุกอย่างดูยากเกินกว่าแค่การเปลี่ยนแปลงสตาฟฟ์โค้ช หรือการคว้านักเตะฝีเท้าดีมีอนาคตเข้ามา จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
แค่ 3 เดือนหลังฤดูกาลใหม่ 2024/25 เริ่มต้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่อาจทนให้เขาทำงานต่อไปได้แล้ว การตัดสินใจปลดจากตำแหน่งจึงเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
โดยฝ่ายบริหารของสโมสรขอให้ฟาน นิสเตลรอย ช่วยคุมทีมแทนไปก่อนในระหว่างที่พวกเขา – แดน แอชเวิร์ธ ผู้อำนวยการสโมสร และ โอมาร์ เบอร์ราดา ซีอีโอของสโมสร ไปตามล่าหาคนที่จะมาเป็นบอสใหม่อย่างเป็นทางการ
ข้อเสนอนี้หากเป็นคนอื่นก็อาจจะไม่ยอมรับก็ได้ โดยเฉพาะสำหรับอดีตศูนย์หน้าระดับตำนานคนหนึ่งของสโมสรที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน แม้จะแค่ฤดูกาลเดียวกับพีเอสวี แต่ก็พาทีมคว้าแชมป์ดัตช์คัพได้ด้วย
แต่ฟาน นิสเตลรอย ยินดีอย่างยิ่งที่จะรับหน้าที่นี้ ไม่ว่าเขาจะมีเวลาสักแค่ไหนก็ตาม
“งานเดียวที่ผมจะยอมทำในฐานะผู้ช่วยก็คืองานที่ยูไนเต็ดเท่านั้น เพราะความผูกพันที่มีของผมกับผู้คนที่สโมสรและแฟนๆ”
สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับเขาคือดูเหมือนฝ่ายบริหารจะค่อนข้างรีบร้อนในการหาตัวตายตัวแทนของเทน ฮาก ซึ่งความจริงแล้วกระบวนการนั้นถูกย่นย่อลงมาสักพัก เพราะสโมสรเคยผ่านการเฟ้นหาตัวเลือกมาแล้วในช่วงปิดฤดูกาล ทำให้ไม่ได้เริ่มทุกอย่างจากศูนย์
แอชเวิร์ธใช้เวลาไม่นานในการติดต่อกับ รูเบน อโมริม หนึ่งในโค้ชคนหนุ่มที่ถูกจับตามองอย่างมากในโลกของฟุตบอล และปิดการเจรจาอย่างรวดเร็วกับทั้งเจ้าตัวและกับสโมสรที่ได้รับเงินชดเชย
เหตุผลที่ทำให้ทุกอย่างต้องรีบร้อนขนาดนี้ เป็นเพราะในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้แมนฯ ยูไนเต็ด เคยตัดสินใจใช้ผู้จัดการทีมชั่วคราวมา 2 คนด้วยกัน คือ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่กอบกู้ทีมได้ประมาณหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจพาทีมไปได้ไกล และอีกคนคือ ราล์ฟ รังนิก ที่รับคุมพวงมาลัยแทน ‘Ole’s at the Wheel’ แต่ทีมเละเทะเกินกว่าปรมาจารย์ลูกหนังชาวเยอรมันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เมื่ออโมริมเป็นตัวเลือกที่พร้อมสำหรับการย้ายมาคุมทีมทันทีโดยไม่ต้องรอ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะชักช้า
แต่ถึงอย่างนั้นตามสัญญาผูกพันที่ทำไว้กับสปอร์ติง ลิสบอน จะมีระยะเวลา Notice Period หรือ ‘ระยะเวลาแจ้งให้ทราบล่วงหน้า’ ที่อโมริมจะต้องทำหน้าที่ให้กับสโมสรไปก่อนในระหว่างที่สโมสรจะมองหาใครคนใหม่เข้ามาแทนที่
อโมริมใช้เวลานั้นในการบอกรักและบอกลากับแฟนๆ สปอร์ติงที่ไม่มีใครไม่เข้าใจ และต่างอวยพรขอให้กุนซือที่พวกเขารักโชคดีในเส้นทางใหม่
ส่วนฟาน นิสเตลรอย ใช้เวลานั้นเพื่อบอกรักทีมในใจของเขาเช่นกัน ผ่านผลงานที่อาจจะเหมือนไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ก็ทำให้ทีมกลับมาเข้ารูปเข้ารอยได้อีกครั้ง
รวมถึงแพสชันที่แสดงออกมาในทุกนัด ทำให้แฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขามีโอกาสอยู่กับสโมสรต่อไป
ไม่ว่าจะในบทบาทไหนก็ตาม
และเขาเองก็อ้อนวอนขอโอกาสเช่นนั้นเหมือนกัน ต่อให้เป็นการอ้อนวอนผ่านสื่อก็ยอมทำ
ไม่ใช่ทุกครั้งที่เรื่องรักจะจบลงด้วยความสมหวัง
บทสนทนาระหว่างฟาน นิสเตลรอย กับอโมริม จบลงด้วยความเข้าใจ เข้าใจว่าไม่ว่าอดีตหัวหอกพญายมคนนี้จะต้องการอยู่เพื่อช่วยงานในโอลด์แทรฟฟอร์ดมากแค่ไหน แต่ในฐานะของบอสใหญ่คนใหม่ กุนซือคนหนุ่มชาวโปรตุเกสมีแนวทางในการทำงานของตัวเอง และมีอำนาจเต็มที่จะตัดสินใจเลือกคนที่อยากจะทำงานด้วย
ฟาน นิสเตลรอย ไม่ใช่คนนั้น
เรื่องนี้ทำให้เขาเจ็บปวด “ในตอนที่ผมยอมรับงานคุมทีมชั่วคราว ผมเคยบอกเอาไว้ว่าผมอยู่ตรงนี้เพื่อช่วยยูไนเต็ด และมันหมายถึงการที่ผมต้องผิดหวังอย่างมาก การที่ต้องจากไปทำให้ผมเจ็บปวด” ฟาน นิสเตลรอย บอก
อย่างไรก็ดี เขาโตพอและเป็นลูกผู้ชายพอที่จะกลืนความผิดหวังลงคอ และเข้าใจการตัดสินใจของอโมริมเป็นอย่างดีหลังจากที่ได้คุยกันแบบตัวต่อตัว ลูกผู้ชายต่อลูกผู้ชาย และในฐานะคนทำงานแบบเดียวกัน
ในความผิดหวัง ฟาน นิสเตลรอย บอกว่าการได้คุยกับอโมริมครั้งนั้นก็ทำให้เขาพร้อมจะก้าวเดินต่อไปและมีกำลังใจมากขึ้น
โดยสิ่งที่เจ้าตัวไม่ได้คาดหรือคิดมาก่อนคือ ระยะเวลา 4 นัดกับแมนฯ ยูไนเต็ด นั้นกลายเป็นเวทีสร้างชื่อสำหรับเขา สโมสรจำนวนมากติดต่อเข้ามาเพื่อสอบถามว่าสนใจที่จะรับข้อเสนองานในการคุมทีมของพวกเขาบ้างไหม
เรื่องนี้ทำเอาฟาน นิสเตลรอย ทึ่งระคนประหลาดใจ เพราะขนาดเคยคุมพีเอสวีทั้งฤดูกาล เคยพาทีมได้แชมป์ เคยคุมทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดอายุต่ำกว่า 19 ปี ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะเนื้อหอมมากขนาดนี้มาก่อน
และหนึ่งในสโมสรที่ติดต่อเข้ามาคือเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมที่เขาเพิ่งจะพายูไนเต็ดจัดการรวด 2 นัดทั้งในลีกคัพและในพรีเมียร์ลีก
เลสเตอร์ตัดสินใจปลด สตีฟ คูเปอร์ พ้นจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว หลังจากผลงานของทีมที่เพิ่งกลับขึ้นชั้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกส่อเค้าว่าอาจจะไปไม่รอดถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ กระแสความไม่พอใจของแฟนๆ เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสร The Foxes ตัดใจปลดคูเปอร์ – ซึ่งได้งานนี้แทนที่ของ เอ็นโซ มาเรสกา กุนซือที่พาทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้ แต่ก็ถูกเชลซีฉกตัวไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา – โดยที่มีตัวเลือกหลายคนในใจ
เกรแฮม พอตเตอร์ และ เดวิด มอยส์ เป็น 2 ชื่อของผู้จัดการทีมที่น่าสนใจ คนหนึ่งเป็นผู้ร่วมวางรากฐานให้ไบรท์ตันกลายเป็นทีมชั้นดีของพรีเมียร์ลีก อีกคนหนึ่งเป็นกุนซือประสบการณ์สูง
แต่สุดท้ายคนที่ได้รับข้อเสนอคือฟาน นิสเตลรอย ที่แม้จะยังใหม่ในวงการ แต่ก็เป็นคนที่ประธานสโมสรถูกใจ นำไปสู่การติดต่อพูดคุยระหว่าง จอห์น รัดกิน ผู้อำนวยการสโมสรที่แฟนบอลหมายหัว เพราะตั้งแต่เข้ามาผลงานของทีมก็ตกต่ำ กับฟาน นิสเตลรอย
ที่สุดท้ายได้ยอมรับข้อเสนอและเป็นบอสใหม่ของเลสเตอร์ ซิตี้ คนที่ 5 ในช่วงระยะเวลา 2 ปี
จากวันที่ได้คุมแมนฯ ยูไนเต็ด ลงสนาม ถึงวันที่เตรียมจะคุมเลสเตอร์ ซิตี้ ลงสนามเป็นครั้งแรกในคิงเพาเวอร์สเตเดียม ซึ่งจะพบกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ประสบปัญหาวิกฤตเหมือนกันภายใต้การทำงานของ ฮูเลน โลเปเตกี เป็นระยะเวลาที่ห่างกันไม่ถึงเดือน
ทุกอย่างมันดูรวดเร็วไปหมด
แต่ฟาน นิสเตลรอย รู้สึกสดชื่น พร้อมจะรับกับความท้าทายที่อยู่ตรงหน้า โดยมีเป้าหมายอย่างเดียวคืออยู่รอดในพรีเมียร์ลีกต่อไปให้ได้ เพราะการตกชั้นสำหรับสโมสรที่มีตัวเลขขาดทุนมหาศาลอย่างเลสเตอร์ นั่นอาจหมายถึงหายนะได้เลยทีเดียว
มีหลายสิ่งที่กุนซือคนใหม่ชาวดัตช์ต้องจัดการ ซึ่งตามบทวิเคราะห์จากสื่อคุณภาพของอังกฤษอย่าง The Telegraph มองเอาไว้ใน 3 ประเด็นด้วยกัน
- ควบคุมบรรยากาศภายในทีมให้ได้ เพราะห้องแต่งตัวของเลสเตอร์นั้นเต็มไปด้วยผู้เล่นที่ทรงอิทธิพล ที่แม้แต่กุนซือมีประสบการณ์สูงอย่างคูเปอร์ก็เอาไม่อยู่
- ชนะใจแฟนๆ ให้ได้ ทำให้บรรยากาศกลับมาดีอีกครั้ง เพราะตอนนี้แฟนๆ เลสเตอร์เริ่มจะผิดหวังกับสโมสร สายสัมพันธ์ที่เคยดีเริ่มจืดจาง แม้กระทั่งประธานสโมสรอย่างอัยยวัฒน์ก็เริ่มถูกเพ่งเล็ง เพราะแทบไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะ ไม่มีการให้สัมภาษณ์จากประธานสโมสรหรือผู้บริหารระดับสูงกับสื่อในอังกฤษมานานกว่า 8 ปี
- แก้ไขเกมรับ นี่คือจุดอ่อนสำคัญของเลสเตอร์ที่เห็นตั้งแต่ชายป่า การจับคู่กันระหว่าง เวาต์ ฟาส ปราการหลังทีมชาติเบลเยียม กับ คาเล็บ โอโคลี กองหลังตัวใหม่ที่ซื้อมาจากอตาลันตา คือหายนะของทีม ซึ่งนัดล่าสุดก็โดนเบรนท์ฟอร์ดแซงถล่มอีก 4-1 ทั้งที่ เจมี วาร์ดี อุตส่าห์ยิงขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ต้นเกมที่ฟาน นิสเตลรอย มานั่งชมเกมบนอัฒจันทร์ด้วย
ระยะเวลาตามสัญญาของเขากับสโมสรคือ 2 ปีครึ่ง ซึ่งถือว่าไม่มากแต่ก็ไม่น้อย
เพียงแต่ระยะเวลาที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างจริงๆ ฟาน นิสเตลรอย รู้ดีว่ามีน้อยกว่านั้นมาก และเขาจำเป็นต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและเร็วที่สุด
ไม่มีเวลาสำหรับการอาลัยอาวรณ์ถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดแล้ว
อ้างอิง:
- https://www.telegraph.co.uk/football/2024/12/02/ruud-van-nistelrooy-turned-down-several-jobs-for-leicester/
- https://www.bbc.com/sport/football/articles/c5y43rr516jo
- https://www.nytimes.com/athletic/5962455/2024/12/03/inside-the-deal-why-leicester-wanted-ruud-van-nistelrooy/
- https://www.nytimes.com/athletic/5860510/2024/10/22/van-nistelrooy-hake-ten-hag-coaching-roles/