รัสเซียเผชิญมาตรการลงโทษทางการทูตครั้งประวัติศาสตร์ หลังสหรัฐอเมริกาผนึกกำลังกับ 16 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) และแคนาดา ร่วมขับไล่นักการทูตรัสเซียกว่า 100 ชีวิตกลับประเทศ สืบเนื่องจากกรณีที่รัสเซียอยู่เบื้องหลังการใช้สารทำลายประสาทลอบสังหารอดีตสายลับรัสเซียและลูกสาวในประเทศอังกฤษเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยเวลานี้มีทั้งหมด 23 ประเทศแล้วที่ดำเนินการหรือเตรียมไล่ทูตรัสเซียออกนอกประเทศ
เมื่อวานนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ขับเจ้าหน้าที่ในสถานทูตรัสเซีย 60 คนที่ถูกระบุเป็นสายลับออกนอกประเทศ แบ่งเป็นคณะทูตในกรุงวอชิงตัน 48 คน และผู้แทนรัสเซียในสหประชาชาติ 12 คน โดยบุคคลเหล่านี้จะถูกประกาศเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ หรือ Persona non grata นอกจากนี้ทรัมป์ยังสั่งปิดสถานกงสุลในเมืองซีแอตเทิลด้วย
ก่อนหน้านี้สหราชอาณาจักรได้กำหนดเส้นตายให้รัสเซียชี้แจงกรณีใช้สาร Nerve Agent โจมตีเซอร์เกย์ และยูเลีย สกรีปอล ในเมืองซาลิสบิวรี เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา หลังตรวจพบร่องรอยของอาวุธเคมีในกลุ่ม Novichok ซึ่งเป็นเกรดเดียวกับที่ใช้ในกองทัพรัสเซียและพัฒนาขึ้นในสมัยสหภาพโซเวียต ส่งผลให้อังกฤษลงโทษรัสเซียด้วยการไล่ทูต 23 คนออกจากประเทศ เพราะถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศที่ห้ามใช้อาวุธเคมีและละเมิดอธิปไตยของอังกฤษ ถึงแม้รัฐบาลรัสเซียจะยืนกรานปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ตาม
มีประเทศไหนบ้างที่เป็นแนวร่วมกับสหราชอาณาจักร
นอกจากสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรแล้ว ล่าสุดมีกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดา, ยูเครน, นอร์เวย์, แอลเบเนีย, ออสเตรเลีย และ 16 ชาติสมาชิก EU ที่ประกาศเตรียมจะขับนักการทูตของรัสเซียกลับประเทศ ประกอบด้วย
- สหราชอาณาจักร – จำนวน 23 คน
- สหรัฐอเมริกา – 60 คน
- โครเอเชีย – 1 คน
- สาธารณรัฐเช็ก – 3 คน
- เดนมาร์ก – 2 คน
- เอสโตเนีย – 1 คน
- ฟินแลนด์ – 1 คน
- ฝรั่งเศส – 4 คน
- เยอรมนี – 4 คน
- ฮังการี – 1 คน
- อิตาลี – 2 คน
- ลัตเวีย – 1 คน
- ลิทัวเนีย – 3 คน
- เนเธอร์แลนด์ – 2 คน
- โปแลนด์ – 4 คน
- โรมาเนีย – 1 คน
- สเปน – 2 คน
- สวีเดน – 1 คน
- แอลเบเนีย – 2 คน
- นอร์เวย์ – 1 คน
- แคนาดา – 4 คน
- ออสเตรเลีย – 2 คน
- ยูเครน – 13 คน
ด้านนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า “รัฐบาลของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน มีพฤติกรรมรุกล้ำค่านิยมและผลประโยชน์ภายในทวีปของเราและไกลกว่านั้น และในฐานะที่สหราชอาณาจักรเป็นประเทศประชาธิปไตยในยุโรป เราจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับ EU และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) เพื่อกำราบภัยคุกคามเหล่านี้ไปด้วยกัน”
ขณะที่ บอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษได้กล่าวยกย่องพันธมิตรของอังกฤษ ที่แสดงพลังสามัคคีร่วมกันตอบโต้รัสเซียในครั้งนี้
ทั้งนี้รัสเซียกำลังเผชิญวิกฤตทางการทูตครั้งหนักหน่วงที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ผนวกดินแดนไครเมียจากยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซียเมื่อปี 2014 อย่างไรก็ตาม มอสโกระบุว่า พวกเขาไม่หวั่นเกรงต่อแรงกดดันจากนานาชาติ และประกาศพร้อมตอบโต้พฤติการณ์ยั่วยุของสหรัฐฯ และยุโรปในครั้งนี้อย่างแน่นอน
Photo: AFP
อ้างอิง: