ทางการยูเครนรายงานว่า กองทัพรัสเซียโจมตีทางอากาศใส่เมืองเชอร์นิฮิฟทางตอนเหนือของประเทศยูเครน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนฝั่งที่ติดกับเบลารุสเป็นระยะทางราว 50 กิโลเมตร ในช่วงเช้าของวานนี้ (19 สิงหาคม) ตามเวลาท้องถิ่น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 7 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 144 คน ในจำนวนนี้ 15 คนเป็นเด็ก
โรงละครรวมถึงมหาวิทยาลัยและจัตุรัสใจกลางเมืองได้รับความเสียหายจากเหตุโจมตีในครั้งนี้ ก่อนที่เปลวไฟที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิดจะลุกลามไปยังอาคารใกล้เคียงที่อยู่โดยรอบ
โอเล็กซานเดอร์ โลมาโก รักษาการนายกเทศมนตรีเมืองเชอร์นิฮิฟ ระบุว่า “ผมเข้าใจดีว่าเป้าหมายของพวกเขาคืองานอีเวนต์ด้านการทหารที่จัดขึ้นภายในอาคารของโรงละคร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ผู้บัญชาการกองทัพรัสเซียสั่งให้กองทัพยิงขีปนาวุธเหล่านั้นใส่เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนในช่วงเวลากลางวัน ทั้งๆ ที่พวกเขาตระหนักดีว่า ผู้ที่จะตกเป็นเหยื่อจากเหตุโจมตีทางอากาศส่วนใหญ่จะเป็นบรรดาพลเรือนก็ตาม
“สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่มีทางที่จะตีความเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเป็นการก่ออาชญากรรมสงครามต่อพลเรือน ซึ่งเป็นอาชญากรรมสงครามของรัสเซียอีกหนึ่งคดี”
โดยบริเวณใจกลางเมืองเชอร์นิฮิฟถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของผู้คนในแถบนี้ที่มักจะมาใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งชาวยูเครนในเมืองดังกล่าวต่างรู้สึกไปในทิศทางเดียวกันว่า พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าวันแบบนี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขา
ทางด้าน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ระบุว่า กองทัพรัสเซียได้เปลี่ยนวันเสาร์ที่ธรรมดาให้กลายเป็นวันแห่งความเจ็บปวดและการสูญเสีย พร้อมกับประกาศว่า กองกำลังของยูเครนจะตอบโต้การกระทำที่ไม่ต่างจากเหตุก่อการร้ายในครั้งนี้อย่างแน่นอน
ขณะที่สหประชาชาติออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อเหตุโจมตีทางอากาศที่เกิดขึ้น ซึ่งนับเป็นเรื่องที่มีความเลวร้ายอย่างมากที่ตัดสินใจโจมตีใส่จัตุรัสของเมืองในช่วงเช้า ในขณะที่พลเมืองจำนวนมากออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ภายนอกที่พักอาศัย บางคนไปโบสถ์เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์นี้ โดยการโจมตีต่อพลเรือนหรือสินทรัพย์ของพลเรือนถือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ พร้อมกับเน้นย้ำว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้ทั้งหมดต้องยุติลงในทันที
ทั้งนี้ กองทัพรัสเซียและกองกำลังยูเครนยังปะทะกันอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของยูเครน โดยเฉพาะพื้นที่แถบภาคตะวันออกของประเทศ โดยมีแนวโน้มยืดเยื้อและไม่จบลงโดยง่าย แม้สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะดำเนินมานานถึง 543 วันแล้ว
ภาพ: Paula Bronstein / Getty Images
อ้างอิง:
