นักลงทุนชื่อดังเตือน สงครามโลกครั้งที่ 3 ปะทุแล้ว หวังผู้นำจีนเข้ามาช่วยยุติวิกฤตยูเครน

นักลงทุนและมหาเศรษฐีชื่อดังระดับโลกชี้ สงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มขึ้นแล้ว หวังจีนเป็นกุญแจสำคัญช่วยยุติปัญหาดังกล่าว ด้าน Goldman Sachs เตือนการยกระดับมาตรการคว่ำบาตรให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจโลก

บิล แอคแมน มหาเศรษฐีผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ ออกโรงเตือนผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัวระบุว่า การบุกโจมตียูเครนของรัสเซียอย่างหนักหน่วงรุนแรงและต่อเนื่องในครั้งนี้ น่าจะถือเป็นการเปิดฉากของสงครามโลกครั้งที่ 3 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แอคแมนระบุว่า ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม ปี 2020 ตนเองได้รู้สึกถึงอันตรายและภัยคุกคามของการระบาดของไวรัสโควิดว่ามีโอกาสจะบานปลายรุนแรง ซึ่งครั้งนั้นหลายคนกล่าวหาว่าตนเองบ้าและคิดมากจนเกินไป ซึ่งสำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครนครั้งนี้ แอคแมนยอมรับว่าตนเองมีความรู้สึกเลวร้ายไม่ต่างกับกรณีของไวรัสโควิด

ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2020 ที่การระบาดของไวรัสโควิดยังไม่ลุกลามรุนแรง แอคแมนในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Pershing Square Capital ได้ให้สัมภาษณ์เตือนผ่านทาง CNBC ให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการล็อกดาวน์ 30 วัน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดก่อนที่ ‘ความเลวร้าย’ ของจริงกำลังมาเยือน

ล่าสุด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 มีนาคม) แอคแมนเตือนว่า มีสัญญาณสงครามโลกครั้งนี้ 3 แล้ว แต่นานาประเทศทั่วโลกกลับไม่สังเกตเห็น ก่อนย้ำว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถทำได้ก่อนที่สงครามจะร้อนแรงมากจนฉุดรั้งไม่อยู่อีกต่อไป

นอกจากนี้ แอคแมนยังได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ในที่สุดจีนจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะเข้ามาช่วยยุติวิกฤตยูเครนในครั้งนี้

โดยความเห็นข้างต้นของแอคแมนสอดคล้องกับความเห็นของ สตีเฟน โรช นักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanley กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่า ขณะนี้มีบุคคลเดียวในโลกที่จะสามารถโน้มน้าวประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในการคลี่คลายวิกฤตการณ์ในยูเครน ซึ่งบุคคลนั้นก็คือ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำของจีน ดังนั้นผู้นำจีนควรจะฉวยโอกาสนี้ในการเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างรัสเซียและยูเครน

โรชยังเตือนอีกว่า จะเป็นการดำเนินการที่ผิดพลาดหากว่าจีนยังคงกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ในขณะที่ทั่วโลกกำลังกดดันต่อรัสเซีย เนื่องจากจะทำให้จีนมีโอกาสถูกตราหน้าว่ามีความผิดร่วมกับรัสเซีย

ด้าน Goldman Sachs ได้ออกมาเตือนว่า การยกระดับมาตรการคว่ำบาตรให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจโลก โดยผลการศึกษาพบว่า เงื่อนไขการเงินโลก (Financial Conditions) ที่สัมพันธ์อย่างแข็งแกร่งกับการเติบโตในอนาคตอยู่ในระดับที่แคบที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น หุ้นที่ตกต่ำ และผลกระทบของตลาดจากความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย

ทั้งนี้ Financial Conditions ถือเป็นส่วนหนึ่งในมาตรวัดที่ส่งผลต่อความพร้อมของเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน ความผันผวนของหุ้น และต้นทุนการกู้ยืม ซึ่งการยกระดับหรือคลายมาตรการคว่ำบาตร เป็นตัวกำหนดการใช้จ่าย การออม และแผนการลงทุนของภาคธุรกิจและครัวเรือน

อ้างอิง:

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH