ทางการรัสเซียยกระดับมาตรการความปลอดภัย ทั้งในกรุงมอสโกและเมืองรอสตอฟออนดอน (Rostov-on-Don) ในภูมิภาครอสตอฟ ใกล้ชายแดนทางตะวันออกของยูเครน พร้อมระดมรถหุ้มเกราะและกำลังทหารประจำการตามอาคารสถานที่รัฐบาลและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ ภายหลัง เยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างแวกเนอร์ ประกาศว่ากองกำลังของเขาเตรียมเดินหน้าสุดกำลังในการต่อต้านกองทัพรัสเซีย เพื่อแก้แค้นการยิงขีปนาวุธโจมตีค่ายทหารรับจ้างแวกเนอร์ในยูเครนวานนี้ (23 มิถุนายน) ซึ่งส่งผลให้มีทหารรับจ้างหลายรายเสียชีวิต โดยเขากล่าวหา เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัสเซียว่าเป็นผู้สั่งการโจมตีด้วยตนเอง
“วันนี้พวกเขาใช้ขีปนาวุธโจมตีค่ายทางด้านหลังของเรา และสหายของเราจำนวนมากเสียชีวิต พวกเขาตลบตะแลงและทรยศเรา” พริโกซินกล่าว พร้อมยืนยันว่ากองกำลังของเขาได้ข้ามพรมแดนจากยูเครนกลับสู่ภูมิภาครอสตอฟที่ชอยกูอยู่ในตอนนี้ และเตรียมดำเนินการขับไล่ชอยกูจากตำแหน่ง ขณะที่เรียกร้องทหารรัสเซียให้อยู่ห่างจากการตอบโต้ครั้งนี้
“นี่ไม่ใช่การรัฐประหาร แต่เป็นการเคลื่อนขบวนเพื่อความยุติธรรม ความชั่วร้ายที่ผู้นำทหารของประเทศนำมาจะต้องหยุดลง”
ทางด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียปฏิเสธความเกี่ยวข้องในการยิงขีปนาวุธโจมตีค่ายทหารรับจ้างแวกเนอร์ โดยไม่กี่ชั่วโมงหลังการประกาศแก้แค้นของพริโกซิน หน่วยความมั่นคงกลาง (Federal Security Service: FSB) ของรัสเซีย ก็ได้ตั้งข้อหาอาญาแก่พริโกซินฐานปลุกปั่นให้เกิดการก่อกบฏด้วยอาวุธ ซึ่งมีโทษจำคุก 12-20 ปี
“ถ้อยแถลงและการกระทำของพริโกซิน เป็นการเรียกร้องให้มีการเริ่มต้นความขัดแย้งของพลเรือนติดอาวุธในดินแดนของรัสเซีย และเป็นการ ‘แทงข้างหลัง’ ทหารรัสเซียที่กำลังต่อสู้กับกองทัพยูเครนผู้ฝักใฝ่ลัทธิฟาสซิสต์” แถลงการณ์ของ FSB ระบุ
ขณะที่ ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกเครมลินเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพริโกซินแล้ว และกำลังดำเนิน ‘มาตรการที่จำเป็นทั้งหมด’ เพื่อรับมือสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้นำกลุ่มแวกเนอร์อ้างว่าได้ยิงเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพรัสเซียตก 1 ลำ โดยอ้างว่าเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวได้โจมตีใส่ขบวนรถของพลเรือน ขณะที่สถานการณ์ซึ่งส่อแววทวีความตึงเครียด ทำให้ผู้ว่าการภูมิภาครอสตอฟต้องประกาศเตือนให้ประชาชนหลบอยู่ภายในบ้าน เพื่อให้กองทัพรัสเซียควบคุมความสงบ
ภาพ: Mikhail Svetlov / Getty Images
อ้างอิง:
