สโมสรฟุตบอลของมอสโกในปัจจุบัน ไม่ต่างกับในอดีตที่เต็มไปด้วยสโมสรที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ โดยแต่ละทีมต่างเป็นที่รู้จักตามผู้ที่เข้ามาบริหารตั้งแต่การเริ่มต้นของสหภาพโซเวียต
ไล่ตั้งแต่ CSKA Moscow คือทีมของกองทัพโซเวียต ด้วยจุดเริ่มต้นจากชมรมกีฬาของกองทัพรัสเซีย ขณะที่ Dynamo Moscow สโมสรที่มีรากฐานจากโรงงานในมอสโกเมื่อปี 1887 และถูกบริหารโดย Cheka หน่วยสืบราชการลับของโซเวียตในปี 1923, Lokomotiv ที่ถูกบริหารโดยการรถไฟรัสเซีย และสโมสร Torpedo ที่โรงงานรถยนต์ Torpedo-ZIL เป็นเจ้าของ
มีข้อยกเว้นเพียงแค่สโมสร Spartak Moscow ที่ริเริ่มโดยนักฟุตบอลฮีโร่ท้องถิ่น Nikolai Starostin ที่ตั้งชื่อสโมสรตามนักสู้แกลดิเอเตอร์ที่ปฏิวัติการปกครองของโรม ทำให้สโมสร Spartak ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมของประชาชน และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมจำนวนแฟนบอลเข้าสนามมากกว่าคู่แข่งทีมอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรัสเซียพรีเมียร์ลีกที่เริ่มต้นแข่งขันในปี 1992 หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1990
โดย Spartak คว้าแชมป์ลีกสูงสุดไปทั้งหมด 10 ครั้งตามด้วย CSKA Moscow 6 สมัย และ Zenit St. Petersburg ทีมดังจากเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่คว้าแชมป์ไปแล้ว 4 สมัย
Dynamo Moscow VS Spartak Moscow ดาร์บี้ที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซีย
ความเป็นคู่อริต่างๆ ของสโมสรในรัสเซียเริ่มต้นในลีกโซเวียตท็อปลีก โดยดาร์บี้ที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซียคือ ดาร์บี้แมตช์ระหว่างสโมสร Dynamo Moscow และ Spartak Moscow ซึ่งมีความเข้มข้นทั้งในแง่การเมืองและสังคมของรัสเซีย
ในระหว่างที่พวกเขาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงแชมป์ลีกในปี 1942 Nikolai Starostin ผู้ก่อตั้ง และนักเตะของสโมสร Spartak Moscow ถูกจับพร้อมกับพี่น้องอีก 3 คน และ เพื่อนร่วมทีมในข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนฆ่าโจเซฟ สตาลิน ผู้นำรัสเซียหรือสหภาพโซเวียตในเวลานั้น
โดยหลังจากการสอบสวนเป็นเวลา 2 ปี พวกเขาก็หลุดพ้นจากข้อหา แต่สองพี่น้อง Starostin ถูกตัดสินให้ไปอยู่ในแคมป์ที่ไซบีเรียเป็นเวลา 10 ปี โดยในช่วงเวลานั้น Nikolai เชื่อว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้คือ Lavrentiny Beria ประธานสโมสร Dynamo Moscow
หลังจากการถูกจำคุก Nikolai Starostin ได้กลายเป็นประธานสโมสรอย่างเต็มตัว และยื่นคำขาดว่านักเตะของเขาต้องเอาชนะทีม Dynamo Moscow ให้ได้ทุกเกม ในช่วงปี 1970s ความบาดหมางของทั้งสองทีมก็ลดลง โดยมีสโมสร Dynamo Kyiv ซึ่งกลายเป็นทีมที่คว้าแชมป์โซเวียตท็อปลีกได้มากที่สุดที่ 13 สมัย เข้ามาเป็นคู่อริของทีม Sparktar แทน
ขณะที่ Spartak Moscow คว้าแชมป์ลีกไปทั้งหมด 12 ครั้ง ขณะที่ Dynamo Moscow คว้าแชมป์ไปทั้งหมด 11 ครั้ง
แต่หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย และลีกสูงสุดของรัสเซียได้เปลี่ยนชื่อเป็น รัสเซียพรีเมียร์ลีก ความเข้มข้นของทั้งสองทีมก็กลับมาอีกครั้ง
สโมสรของเศรษฐี
เหมือนกับสโมสรในพรีเมียร์ลีกอังกฤษอย่างเชลซี ที่มีมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรตั้งแต่ปี 2003 และนำพาความสำเร็จพร้อมเงินลงทุนมหาศาลมาสู่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ซูเลย์มาน เคริมอฟ เศรษฐีชื่อดังชาวรัสเซีย เจ้าของสโมสรอันจีมาคัชคาลา
ขณะที่สโมสรที่มหาเศรษฐีเข้ามาลงทุนคือ สโมสรฟุตบอลอันจีมาคัชคาลา (FC Anzhi Makhachkala) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1991 ตั้งอยู่ในเมืองมาคัชคาลา และถูกเทกโอเวอร์โดย ซูเลย์มาน เคริมอฟ เศรษฐีชื่อดังชาวรัสเซียในปี 2011
ความเปลี่ยนแปลงที่ซูเลย์มานได้นำมาสู่สโมสรคือ การแปลงเงินลงทุนเป็นนักฟุตบอลชื่อดังของโลก ที่ตบเท้าเข้าร่วมทีมเพื่อเตรียมนำพาความยิ่งใหญ่มาสู่เมืองมาคัชคาลา รายชื่อนักเตะประกอบไปด้วย ซามูเอล เอโต้ ที่ย้ายไปร่วมทีมพร้อมสถิติค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลกที่ 22 ล้านปอดน์ต่อปี เมื่อปี 2011 รวมถึงนักเตะอย่าง วิลเลียน, ลาสซานา ดิยาร์รา และคริสโตเฟอร์ แซมบ้า เข้ามาร่วมทีมระหว่างปี 2011-2013 โดยดึงตัว กุส ฮิตดิ้ง กุนซือระดับโลกชาวเนเธอร์แลนด์มาคุมทีมอีกด้วย
แต่สุดท้ายด้วยสถานการณ์ทางการเงินในปี 2013 ทำให้พวกเขาต้องปล่อยเหล่านักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ออกจากทีม ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือฟอร์มการเล่นในฤดูกาล 2013-14 ตกต่ำขนาดที่ทั้งฤดูกาลทีมสามารถเก็บได้เพียง 20 แต้ม และตกชั้นลงไปเล่นลีกรองเป็นเวลา 1 ฤดูกาลก่อนจะสามารถกลับขึ้นมาเล่นในรัสเซีย พรีเมียร์ลีกจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การแนะนำให้รู้จักเบื้องหลังของสโมสรต่างๆ ในรัสเซีย พรีเมียร์ลีกที่เป็นรากฐานการสร้างนักฟุตบอลรัสเซียในเมืองใหญ่ ซึ่งแต่ละสโมสรต่างมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันออกไป และเมื่อผ่านกาลเวลายุคสมัย ตั้งแต่ก่อนปฏิวัติรัสเซีย สหภาพโซเวียต และรัสเซียในปัจจุบัน
แต่สโมสรฟุตบอลเกือบทั้งหมดในรัสเซียส่วนใหญ่มีจุดเริ่มต้นจากชาวอังกฤษที่เดินทางไปทำธุรกิจในประเทศรัสเซียในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 น่าเสียดายที่ภาพความสัมพันธ์ล่าสุดของพวกเขากลับถูกภาพของความรุนแรงในฟุตบอลยูโรเมื่อปี 2016 รวมถึงการแย่งชิงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้ นิยามความสัมพันธ์ทางฟุตบอลของทั้งสองประเทศ ซึ่งหวังว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่ทั้งสองทีมจะเริ่มต้นสืบทอดเจตนารมณ์ของฟุตบอล ที่นำผู้คนที่แตกต่างมาร่วมแข่งขันกันภายในสนาม แทนที่จะนัดกันออกไปดวลหมัดเหมือนในมาร์กเซย ฝรั่งเศสเมื่อปี 2016
อ้างอิง:
- www.newyorker.com/news/sporting-scene/the-downfall-of-a-russian-soccer-team
- www.lancashiretelegraph.co.uk/sport/11884772.The_incredible_story_of_how_two_Blackburn_Rovers_fans_helped_form_Dynamo_Moscow
- russianfootballnews.com/the-englishmen-who-brought-football-to-russia
- nordic.businessinsider.com/a-russian-politician-wants-to-turn-football-hooliganism-into-a-sport-2017-3