ถึงแม้ซีรีส์ Run On จะลาจอไปอย่างน่าประทับใจเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 แต่แนวคิดดีๆ จากตัวละครต่างๆ จะยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ‘นักวิ่งบนลู่แห่งชีวิต’ ทั้งหลายที่ยังอยู่บนเส้นทางความฝันที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
THE STANDARD POP ขอรวบรวม 10 แง่คิดสำคัญจากซีรีส์เรื่องนี้ เพื่อให้ทุกคนมีกำลังใจ ไม่ยอมแพ้ ‘วิ่ง’ บนเส้นทางของตัวเองต่อไปด้วยความมั่นใจว่าเราจะวิ่งถึงเส้นชัยที่ตั้งเอาไว้ในสักวันหนึ่ง
Run On!
หมายเหตุ: Run On คือซีรีส์เกาหลีจากช่อง JTBC (รับชมได้ใน Netflix) บอกเล่าเรื่องราวของ คีซอนกยอม (อิมชีวาน) นักกรีฑาทีมชาติระยะสั้นผู้ถูกจดจำในอันดับ 2 และ โอมีจู (ชินเซคยอง) นักแปลซับภาพยนตร์ต่างประเทศที่ไม่เคยย่อท้อต่อความฝัน เมื่อคนที่มีความแตกต่างระหว่างภาษาและจังหวะเวลามาพบกัน ก็ทำให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะเข้าใจและก้าวข้ามอุปสรรคไปพร้อมๆ กัน
.
*** มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ ***
1. ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ 100%
หากมองแค่ภายนอก ครอบครัวของตัวละครหลักอย่าง คีซอนกยอม คงเป็นภาพครอบครัวที่แสนเพอร์เฟกต์ มีทั้งแม่ที่เป็นนักแสดงชื่อดัง พ่อเป็นถึงนักการเมืองมากอำนาจ และพี่สาวที่เป็นโปรกอล์ฟระดับชาติ
แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วในบ้านหลังโตที่เต็มไปด้วยโล่รางวัลจะมีแต่ความว่างเปล่า แห้งเหี่ยวจากความรัก และเมื่อรู้สึกว่าไม่เคยมีใครสนใจความรู้สึก ทำให้คีซอนกยอมเลือกใช้ชีวิตเพื่อให้คนอื่นพอใจโดยไม่สนใจความรู้สึกของตัวเอง จนกระทั่งได้มาเจอกับ โอมีจู ที่ช่วยสอนเขาให้รู้ว่าใน ‘โลกของคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ’ นั้นสวยงามและมอบความอบอุ่นใจได้ดีกว่า ‘โลกที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ’ ของเขาเสียอีก
2. การขาดความรักไม่ได้ทำให้มองโลกในแง่ร้าย
โอมีจู เป็นตัวละครที่สอนให้เรารู้ว่าถึงแม้จะขาดความรักและการเลี้ยงดูที่ดี
จากพ่อแม่ก็ไม่ได้ทำให้เธอมองโลกในแง่ร้ายเสมอไป และสามารถเติบโต
มาได้อย่างดีด้วยเธอเอง ทั้งการที่เธอไม่หยิ่งในศักดิ์ศรี ทำงานหามรุ่งหามค่ำส่งตัวเองเรียน เพื่อวันหนึ่งจะได้ทำงานที่เธอรัก
โดยโอมีจูมักจะเอาความกลัวและความกดดันมาใช้เป็นเชื้อไฟให้มีแรงฮึดสู้ต่อไปอย่างในฉากนึกถึงคำถามจากคีซอนกยอม ที่เคยได้เห็นเธอวิ่งสุดแรงเกิดตอนปืนสะสมของเธอถูกขโมยว่า
“ตอนนั้นออกจะวิ่งเก่งขนาดนั้น หรือต้องถูกแย่งอะไร ถึงจะวิ่งเก่งขึ้นมา”
เธอได้ตอบกับตัวเองว่า
“ไม่ใช่ ฉันวิ่งเพื่อที่จะไม่ถูกแย่งต่างหาก”
โดยที่เธอมองว่าถึงแม้จะไม่มีพ่อแม่ แต่ไม่ได้แปลว่าเธอไม่สมควรมีความสุข เธอเติบโตมาอย่างดีในแบบของตัวเอง สามารถได้รับความรักและให้ความรักกับคนอื่นได้เช่นกัน
ซึ่งการส่งพลังบวกของเธอในหลายๆ ฉากบอกกับเราดังๆ ว่า วิธีการมองโลกมีผลต่อการเติบโตและการใช้ชีวิตจริงๆ
3. ถ้าเรียนรู้ปรับตัวเข้าหา ต่างคนต่างภาษาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ในช่วงแรกของการพบกันระหว่างโอมีจูและคีซอนกยอมเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบาก เมื่อพระเอกของเราไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง ชนิดที่ต่อให้โอมีจูเป็น ‘นักแปล’ ฝีมือฉกาจก็ยังนับว่าเป็นเรื่องยากอยู่ดี
แต่ในระหว่างการเดินทางเมื่อทั้งสองคนเลือกที่จะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา รับฟังความรู้สึกของอีกฝ่าย อย่างในช่วงเวลาที่โอมีจูเลือกยอมแพ้ในความสัมพันธ์และเว้นระยะจากคีซอนกยอม เพราะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเธอและเขา เป็นเหมือนกับการดันทุรังใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง คีซอนกยอมก็เลือกที่จะกอดเธอเอาไว้และเปิดเผยความในใจออกไปว่า
“ผมไม่เคยเอาแต่ใจตัวเองมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่ามันต้องทำยังไง แต่ไม่ต้องสอนกันไม่ได้หรอครับ… วิธีเลิกกัน เรื่องอื่นคุณจะสอนอะไรผมก็ได้ แต่ไม่สอนเรื่องนั้นเรื่องเดียวไม่ได้หรอครับ”
เมื่อกล้าที่บอกความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา และการพยายามในการสื่อสารภาษากายและภาษาใจของคีซอนกยอมก็ทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้และเข้าใจ ‘ภาษา’ และความรู้สึกของกันและกันมากยิ่งขึ้น
4. ประโยคจากคีซอนกยอมบอกเราว่าจังหวะเวลาสำคัญที่สุด
“ตอนที่วิ่ง การรักษาจังหวะตัวเองคือสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเหนื่อยจะวิ่งช้าๆ ก็ได้ ขอแค่อย่ายอมแพ้ก็พอ”
ไม่ใช่แค่โอมีจูที่มีแรงก้าวขาวิ่งต่อไปเมื่อได้ฟังประโยคนี้จาก ‘นักกีฬาคี’ ที่ปกติแทบไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เพราะคำพูดนี้ได้จุดประกายพลังในใจคนดูให้มองเห็นความสำคัญในการรักษาจังหวะชีวิตหรือวิ่งตามความฝัน
เป็นเรื่องธรรมดาบนเส้นทางขรุขระ ที่นักวิ่งบน ‘ลู่แห่งชีวิต’ ต้องเจอเส้นทางที่ทั้งขึ้นและลง รู้สึกเหนื่อยบ้างท้อบ้างก็ไม่เป็นไร ลองลดจังหวะลงมาอีกนิด ขอแค่อย่าหยุดวิ่งจนกว่าจะถึงเป้าหมาย เหมือนที่คีซอนกยอมไม่เคยหยุดวิ่ง จนในที่สุดสามารถสานฝันในการสร้างฝันให้กับเหล่านักกีฬารุ่นน้อง และยืนหยัดบนเส้นทางแห่งนักกีฬาในฐานะตัวแทน (เอเจนต์) ได้อย่างภาคภูมิใจ
5. พลังแห่งรักที่เปลี่ยนโลกมืดให้มีแสงสว่าง
ประธานซอดันอา (ชเวซูยอง) เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่แข็งกร้าว (จนคนดูหลายคนแอบหมั่นไส้) จากสภาพครอบครัวที่บีบให้เธอต้องกลายเป็นคนที่ชอบแข่งขันและเอาชนะ แต่เมื่อคนที่ไม่แคร์ความรู้สึกใคร มาเจอกับความจริงใจของนักศึกษา อียองฮวา (คังแทโอ) ก็ทำให้โลกของเธอสดใสและเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
จากคนเย่อหยิ่งกลายเป็นคนที่เริ่มเห็นใจและยอมพูดขอโทษออกไปเมื่อทำร้ายจิตใจผู้อื่น เธอได้เรียนรู้การให้อภัย เปิดใจยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงในระหว่างที่เธอใช้เวลาอันมีค่าไปกับผู้ชายที่ช่วยจุดไฟในโลกของเธอ
ถึงแม้เธอจะกลัวว่าสิ่งที่เธอรัก จะทิ้งร่องรอยบาดแผลจากความเสียใจไว้อย่างที่ผ่านมา แต่ด้วยพลังแห่งรักก็ทำให้ซอดันอาสามารถส่งความรู้สึกและความหวังดีจากก้นบึ้งของหัวใจออกไปได้สักที
6. การยืนหยัดในเรื่องที่ถูกต้อง เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
การใช้ความรุนแรงก็เป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าเกิดขึ้นที่ไหน เช่นเดียวกับในสมาคมกีฬาที่การใช้ความรุนแรงสามารถตัดสินชีวิตของนักกีฬาคนหนึ่งได้ เหมือนตอนที่ คิมอูชิก (อีจองฮา) นักกีฬารุ่นน้องถูกทำร้ายโดยรุ่นพี่ร่วมทีม มีเพียงแค่คีซอนกยอมที่ยอมเสี่ยงเปิดเผยความจริง แม้ว่าสิ่งที่ต้องแลกมาจะทำให้เขาต้องหันเหออกจากเส้นทางนักกีฬาก็ตาม
“ถ้านายแก้ปัญหาด้วยการคุยกันเงียบๆ ตั้งแต่ต้นก็คงไม่มีปัญหาแบบนี้หรอก”
ประโยคปัดความรับผิดชอบจากคนที่เป็นถึงผู้จัดการทีม สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมซุกปัญหาทุกอย่างไว้ใต้พรมที่สะสมมาจนยากจะแก้ไขจากการเคลื่อนไหวของคนคนเดียว แต่อย่างน้อยสิ่งที่นักกีฬาคีทำก็ช่วยให้คนในสังคมตระหนักรู้ถึงปัญหา เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีในรุ่นต่อๆ ไปได้
7. ทุกๆ ความหมายมาจากความละเอียดอ่อนภายใต้การทำงานของนักแปล
การถ่ายทอดภาษาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกๆ องค์ประกอบสำคัญมาก
สำหรับนักแปล ตั้งแต่การแปลชื่อเรื่อง จังหวะการขึ้นซับ และการถ่ายทอดข้อความให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่ออย่างครบถ้วน
เราจะเห็นได้ว่าบางครั้งโอมีจูเอาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เพื่อที่จะเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละคร และสื่อสารออกมาในภาษาที่เหมาะสม โดยดูบริบทความเปลี่ยนแปลงของโลกประกอบไปด้วย อย่างที่เธอได้พูดถึงภาพยนตร์จาก 10 ปีที่แล้วว่า
“ระยะเวลาขนาดนั้น แม้แต่ธรรมชาติยังเปลี่ยนไปเลย ภาษาที่ผู้คนใช้ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วยใช่ไหมล่ะคะ คำพูดน่ะสามารถหายไปและก็เกิดขึ้นมาใหม่ได้”
ความละเอียดอ่อนไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของภาษาเท่านั้น แต่ในการใช้ชีวิตคนเราก็ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและความระมัดระวังใน ทุกคำที่พูด ทุกเรื่องที่คิด ทุกย่างที่ก้าวเดิน เพื่อที่จะเรียนรู้และเข้าใจตัวเอง จนนำไปสู่การเข้าใจคนรอบข้างให้มากขึ้น
8. อุปสรรคกลายเป็นเรื่องเล็ก ถ้ามีคนช่วยเติมเต็มและอยู่เคียงข้าง
การมีคนที่พร้อมอยู่เคียงข้างและเติมเต็มกันและกัน ทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่เต็มไปด้วยพลังบวกอย่างโอมีจู ที่ทำให้คนว่างเปล่าอย่างคีซอนกยอมเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากยิ่งขึ้น ผ่านประโยคที่ว่า
“ไม่มีหรอกค่ะ คนที่ชินชาและทนกับความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องพยายามทำเป็นโอเคก็ได้ค่ะ”
ในขณะเดียวกันคีซอนกยอมก็พร้อมเป็นที่พักพิงให้โอมีจูในวันที่อ่อนแอ ยามที่เธอป่วยและเรียกหา ‘แม่’ ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
“ทีหลังอย่าเรียกคนที่ไม่อยู่ ให้เรียกคนที่อยู่ไม่ว่าจะตอนที่ป่วยหรือลำบาก”
เมื่อคนสองคนที่เริ่มต้นด้วยความต่างสามารถเติมเต็มกันและกัน ก็ทำให้ทั้งภาระ ความหนักใจ และอุปสรรคที่แบกไว้บนไหล่ดูจะเบาลงไปอีกเท่าตัว เพราะคนที่อยู่ตรงหน้านั้นสำคัญและมีคุณค่ามากพอที่พร้อมจะฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน ขอแค่ยังมีคนนั้นอยู่ข้างๆ กันก็เพียงพอแล้ว
9. ความหลากหลายทางเพศไม่ใช่เรื่องผิด
มุมมองความหลากหลายทางเพศในซีรีส์ Run On ถูกสะท้อนผ่าน โกเยจุน (คิมดงยอง) และแม่อย่าง ดงกยอง (ซออึนกยอง) ที่ได้แต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะเธอตัดสินใจหย่าและมัวแต่ดูแลลูกของคนอื่น ทำให้ลูกชายของเธอเป็นแบบนี้ ก่อนที่โกเยจุนจะรวบรวมความกล้าและพูดออกไปอย่างจริงใจ
“ก็แค่ทุกคนแตกต่างกันนี่ครับ และความแตกต่างก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่ครับ”
นับว่าเป็นเรื่องดีที่ควรเกิดขึ้นกับทุกๆ ครอบครัว เมื่อแม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น ซึ่งการยอมรับจากครอบครัวจะเป็นประตูบานใหญ่ที่ช่วยสนับสนุนการยอมรับตัวเองของโกเยจุน จึงนับว่าเป็นข้อความสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ผู้สร้างต้องการจะถ่ายทอดสู่สังคมเกาหลีที่ยังไม่ค่อยเปิดใจรับในความแตกต่างทางเพศมากนัก
10. ล้มได้ก็ลุกได้
แง่คิดจากตอนที่ คิมอูชิก เกือบตัดสินใจยุติความฝันในการเป็นนักกีฬา เพียงเพราะการล้มครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวที่ทำให้เขาบาดเจ็บทั้งกายและใจ จนกลัวการที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง แต่สำหรับรุ่นพี่อย่างคีซอนกยอมที่รู้สึกว่าการยอมแพ้ตั้งแต่ครั้งแรกถือว่าความปวดใจขั้นสูงสุด จึงได้เข้ามาเพื่อเตือนสติและสร้างกำลังใจให้รุ่นน้องที่เขารักว่า
“ถ้าลองดูแล้วมันไม่ได้ ค่อยยอมแพ้ตอนนั้นก็ได้นี่ แต่วันนี้น่ะ ลองลุกขึ้นดูก่อนดีไหม”
ประโยคนี้จากนักกีฬาคีทำให้คิมอูชิกลุกขึ้นสู้ พร้อมจุดไฟแห่งฝันขึ้นอีกครั้ง และการตัดสินใจลุกขึ้นในวันนั้นก็ทำให้เขาสามารถคว้าชัยชนะเหรียญทองอย่างที่ฝัน เป็นรางวัลตอบแทนหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาของวันวานและความสิ้นหวังที่ผ่านมาทั้งหมด
พัฒนาการของตัวละครในซีรีส์ Run On ทำให้เราเห็นว่าทุกคนกำลังวิ่งอยู่บน ‘ลู่แห่งชีวิต’ ของตัวเองในจังหวะและระยะทางที่แตกต่างกัน บางคนวิ่งช้า บางคนวิ่งเร็ว บางคนมุ่งตรงไปข้างหน้าและบางคนก็วิ่งย้อนกลับไปหาอดีต แต่เราแทบไม่เห็นเลยว่ามีตัวละครไหนที่หยุดวิ่ง
ถึงแม้ซีรีส์ Run On จะปิดฉากลงได้อย่างสวยงามแล้ว เราหวังว่าคนดูเองก็จะยังวิ่งต่อไปบนเส้นทางที่แต่งแต้มไปด้วยความรัก ความฝัน และกำลังใจ จนกว่าจะเข้าเส้นชัยที่เป็นของตัวเองได้ในสักวันหนึ่ง
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า