ภาพของผู้จัดการทีม – ไม่สิหัวหน้าโค้ชสินะตามตำแหน่งของโครงสร้างฟุตบอลสมัยใหม่ – ที่นั่งแก้เกมบนกระดานแท็กติกของตัวเองราวกับอยู่ในโลกของตัวเองว่าอาการหนักแล้ว
ภาพของเขาที่นั่งก้มหน้าอยู่บนม้านั่งสำรองไม่กล้าที่จะออกมาดูการดวลจุดโทษ นั้นยิ่งหนักกว่า มันไม่ใช่ภาพที่ดูแล้วช่วยให้ความรู้สึกของแฟนฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั่วโลกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยแม้แต่นิด
แน่นอนอยู่แล้วว่า ความพ่ายแพ้ต่อกริมส์บี ทาวน์ สโมสรรองบ่อนจากระดับลีก ทู เป็นหนึ่งในความปราชัยระดับอัปยศอดสูอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สิ่งที่ทำให้ขุมนรกแทบระเบิดคือสิ่งที่ทุกคนได้เห็นกันในสนาม กับคำถามถึงผู้ชายที่ชื่อรูเบน อโมริม คนที่ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะบอกว่า “ผมจะอยู่ที่นี่ไปอีก 20 ปี”
วันนี้เขากำลังถอดใจและคิดจะไปแล้วจริงไหม?
หากได้ฟังถ้อยคำของกุนซือคนหนุ่มวัย 40 ปี ที่ออกมาให้สัมภาษณ์หลังเกมระดับหายนะที่สนามบลันเดลล์ พาร์ค ของกริมส์บี ทาวน์ ต่อให้ไม่ตั้งใจฟังก็ยังสามารถจับสัญญาณบางอย่างที่น่าสนใจได้
“ผมคิดว่าผู้เล่นพูดดังและชัดเจนถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการในวันนี้” เขาบอก “บางสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง และไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงผู้เล่นทั้ง 22 คนอีกครั้ง”
“การต้องเผชิญหน้าไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ยากทั้งนั้น ตอนนี้เราจะต้องมองถึงเกมหน้าก่อน จากนั้นเรามีเวลาที่จะตัดสินใจในสิ่งต่างๆ กัน”
การตัดสินใจในสิ่งต่างๆเหล่านี้ตามคำพูดของเขานั้น ถูก “ตีความ” จากผู้สื่อข่าวระดับหัวแถวของวงการว่าน่าจะหมายถึงการพิจารณาที่จะลาออกจากตำแหน่งนายใหญ่ของโอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเหตุผลนั้นหากตีความตามคำให้สัมภาษณ์คือผู้เล่นไม่เชื่อใจและไม่ต้องการจะลงเล่นเพื่อเขาอีกต่อไปแล้ว
สำหรับโค้ชผู้ทะนงในศักดิ์ศรี อาจจะคิดว่าอยู่แบบนี้ไปเสียดีกว่า
แต่คำพูดของอโมริมนั้นฟังแล้วต้องหารครึ่งเอาไว้ก่อน
ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่พูดจากลับไปกลับมาใช้ไม่ได้ แต่เพราะโค้ชชาวโปรตุเกสคนนี้เป็นคนที่มีความอ่อนไหวในอารมณ์สูง การสัมภาษณ์ในช่วงที่ห้วงความรู้สึกดิ่งลงไปในความมืดมนอนธการนั้นเป็นไปได้ที่จะขาดการกลั่นกรองที่ดีพอ
และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเคยพูดในลักษณะนี้ว่าอยากจะลาออกจากตำแหน่ง เมื่อฤดูกาลที่แล้วเขาก็เคยพูดในทำนองนี้เหมือนกันหลังจากที่ผลงานของทีมไม่เป็นไปอย่างที่หวังไว้แม้แต่น้อย
แต่ถ้าเรามองย้อนกลับไปไม่ต้องไกล แค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ที่แล้ว ความรู้สึกนั้นแทบจะเป็นคนละเรื่อง
แมนฯ ยูไนเต็ด แม้จะพ่ายในเกมนัดเปิดฤดูกาลให้แก่อาร์เซนอล แต่มันเป็นความพ่ายแพ้ที่ทุกคนยอมรับได้ ด้วยเพราะทีมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเตรียมเนื้อเตรียมตัวและเตรียมใจมาอย่างดีสำหรับฤดูกาลใหม่
ทีมเล่นกันอย่างมีระบบ มีทรง และกระหายเหมือนคนหิวการเล่นฟุตบอล ในระดับที่สามารถเล่นงานอาร์เซนอลจนเกือบเอาตัวไม่รอดได้
ฟอร์มวันนั้นทำให้อโมริมถึงกับบอกด้วยความรู้สึกฮึกเหิมว่า “ผมจะอยู่ที่นี่ไปอีก 20 ปี”
ทำไมทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วราวกับลมเปลี่ยนทิศแบบนี้?
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนเกมกับกริมส์บี มี 2 เรื่องที่ถือว่ากระทบต่อความมั่นใจและบรรยากาศภายในโอลด์ แทรฟฟอร์ดอย่างรุนแรง
หนึ่งคือการเสมอกับฟูแลมในเกมที่อโมริมพ่ายแพ้ในการดวลแท็กติกต่อมาร์โก ซิลวา
กุนซือคนบ้านเดียวกันผู้เคยปรากฏเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่แดน แอชเวิร์ธ อดีตผู้อำนวยการสโมสรนำเสนอต่อเซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ และเหล่าทีมผู้บริหารมาก่อน บอกด้วยความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องว่าสิ่งที่เขาทำเพื่อให้ทีมเล่นงานแมนฯ ยูไนเต็ดได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย
เพียงแค่การ “Tweak” ปรับแท็กติกแค่เล็กน้อยก็ดีพอที่จะทำให้ทีมของอโมริมรับมือกันไม่ถูกแล้ว
การเสมอในเกมนี้บ่อนทำลายความมั่นใจของอโมริมและทีมได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ความรู้สึกเชื่อมั่น (Believer) ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นความสงสัย (Doubter) อีกครั้งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว
เรื่องนี้น่าเห็นใจ เพราะตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาทีมของเขาเหมือนลอยคออยู่เหนือผิวน้ำ บางจังหวะก็แหงนหน้าเพื่อสูดลมหายใจเข้ามาได้ แต่ในบางจังหวะที่อ่อนแรงก็จมน้ำทุรนทุราย และเป็นแบบนี้มาโดยตลอด
แม้ฤดูกาลจะเปลี่ยนผ่านแล้วแต่อาการ “หลอน” ยังคงอยู่เหมือนเดิม
เรื่องที่สองที่ส่งผลต่อบรรยากาศอย่างมากคือข่าวการแตกหักกับ ค็อบบี เมนู กองกลางดาวรุ่งของทีมที่เปิดช่องสำหรับการย้ายออกจากสโมสรหลังจากที่ไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามเลยแม้แต่นาทีเดียวในเกมพรีเมียร์ลีก 2 นัดแรก
ข่าวนี้ถือว่าสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมาก เพราะเมนูนั้นจะชั่วจะดีก็เป็นเด็กปั้นของสโมสรที่แฟนบอลรักและคาดหวังจะเห็นอนาคตที่ดี แต่นับจากที่อโมริมเข้ามาดูเหมือนประตูสู่อนาคตของเด็กคนนี้จะถูกปิดตายสนิท
ความรู้สึกนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อมีคนนำภาพของเมนู ที่นั่งฉลองประตูอยู่กับราสมุส ฮอยลุนด์ และอเลฮานโดร การ์นาโช ที่กระดานจอโฆษณาข้างสนาม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แฟนบอลรู้สึกว่าในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบความหวังใหม่ของทีมสักที
แต่ ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้ทั้ง 3 คนมองไม่เห็นอนาคตในทีมแล้ว เพราะไม่ใช่คนที่อโมริมไว้ใจหรือพร้อมให้โอกาส
มากบ้างน้อยบ้างความมั่นใจและบรรยากาศที่ไม่สู้ดีนักส่งผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมที่บลันเดลล์ พาร์ค ที่แมนฯ ยูไนเต็ดเล่นกันแบบไม่เอาอะไรเลยจนโดนนำไปก่อน 2-0 และต้องกระเสือกกระสนจนถึงช่วงท้ายเกมถึงจะไล่ตีเสมอเป็น 2-2
แต่เรื่องราวในอีกมุมหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าคนที่สร้างปัญหาทุกอย่างก็คือตัวของอโมริมเอง
ความยึดมั่นในระบบการเล่นแบบ 3-4-2-1 กองหลัง 3 คน, วิงแบ็ก 2 ข้าง, กองกลางตัวรับ 2 คน, กองกลางตัวทำเกม 2 คน และศูนย์หน้า 1 คน เป็นปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นผู้รู้ในวงการฟุตบอลหรอก ทุกคนมองเห็นชัดเจนว่าสิ่งนี้แหละคือปัญหา
ทีมที่มีวิธีการเล่นแค่แบบเดียว และไม่ได้มีผู้เล่นที่เหมาะสมกับระบบการเล่นแบบนี้ ยากที่จะประสบความสำเร็จได้
ผลงานมันบอกด้วยตัวของมันเองชัดเจนอยู่แล้ว
และด้วยระบบการเล่นนี้ทำให้ถึงในฤดูกาลนี้อโมริมจะได้ 3 ประสานแนวรุกชุดใหม่ในราคา 200 ล้านปอนด์ที่ดูน่าเกรงขามบนแผ่นกระดาษ ทั้งมาเธอุส คุนญา, ไบรอัน เอ็มโบโม และเบนจามิน เซสโก แต่มันทำให้เขาเจอกับปัญหาต่อไป
ปัญหาที่ว่าคือกัปตันทีมบรูโน เฟอร์นันเดส ที่ต้องถูกถอยลงมาเล่นในบทกองกลางตัวรับ ซึ่งแค่พอเล่นได้แต่ไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาถนัดหรือทำได้ดี เพราะไม่ว่าจะเป็นนักเตะที่ขี้บ่นขนาดไหนก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าในบรรดาผู้เล่นที่อโมริมมีอยู่ในทีมทั้งหมด เขาคือคนที่พร้อมสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้มากที่สุด
ในวงเล็บว่าต้องให้อยู่ในที่ทางที่จะทำให้สามารถบันดาลสิ่งต่างๆ ได้
การถูกขยับตำแหน่งลงมาต่ำของบรูโนทำให้เกิดปัญหาตามมาในแดนกลาง กับการค้นหาคำตอบว่าใครควรจะได้เล่นคู่กัน ซึ่งตัวเลือกที่มีนั้นไม่ตอบโจทย์สักราย ไม่ว่าจะเป็น คาเซมิโร ที่ถึงจะประสบการณ์สูงและพยายามเรียกสภาพความฟิตกลับมาอย่างน่าชื่นชมแต่ก็ห่างไกลจากวันที่ดีที่สุดมาไกลโขแล้ว ส่วนมานูเอล อูการ์เตนั้นพอจะพูดได้แล้วว่าเป็นการโดน “ย้อมแมว” ที่น่าเจ็บใจ
ค็อบบี เมนู เป็นอีกคนที่หลายคนเชื่อว่าจะเล่นในตำแหน่งนี้ได้ แต่โดยธรรมชาติแล้วไม่ใช่คนที่เล่นเกมรับได้ดีมากนัก นั่นหมายถึงต่อให้ถูกส่งลงสนามมาพร้อมกับกัปตันบรูโน (ที่อโมริมบอกว่านี่แหละคู่แข่งที่นายต้องแข่งด้วยนะค็อบบี…ซึ่งหมายถึงเขาแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันลงสนามแล้วไหม?) ส่วนผสมทางเคมี ฟิสิกส์ และชีวะไม่น่าจะเข้ากัน
เรายังไม่พูดถึงวิงแบ็กสองข้างอย่าง พาทริก ดอร์กู และดีโอโก ดาโลต์ ที่ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าพวกเขามีดีตรงไหนอีกนอกจากความฟิตที่พอจะวิ่งขึ้นวิ่งลงได้ไม่หยุด
และปัญหาก็ลามต่อไปเรื่อยๆ
สิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามตลอดมาคือ อโมริมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักนิดเลยหรือ?
จริงอยู่ที่เขาเคยบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาได้มาคุมทีมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดคือระบบการเล่นแบบ 3-4-2-1 และสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ การจะทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปหมายถึงการละทิ้งตัวตนและหลักการของตัวเอง เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้
แต่จนถึงตอนนี้แล้วมันเห็นได้ชัดว่าการยึดมั่นถือมั่นไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หากอโมริมลองมองรอบตัวสักนิด คู่แข่งร่วมลีกมีการเปลี่ยนแปลงทางแท็กติกการเล่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, เชลซี หรือแม้แต่ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ โดยที่ผู้จัดการทีมแต่ละคนจะประเมินขุมกำลังที่มีและพยายามหาจุดลงตัวให้ได้ระหว่างความคาดหวังทางแท็กติกการเล่น กับความเป็นจริงของทีม
ด้วยผู้เล่นที่เขามี ต่อให้มันอาจจะยังไม่ดีพอถึงการลุ้นความสำเร็จในระดับสูงสุด แต่นักเตะหลายๆ คนอย่าง มัทไธส์ เดอ ลิกต์, เมนู, บรูโน, คุนญา, เอ็มโบโม, เซสโก, เมาต์ หรืออาหมัด ดิยาลโล ไม่ถือว่าเป็นทีมที่แย่เลย
จะดีกว่าไหมหากจะลองเปลี่ยนมาใช้ผู้เล่นตามคุณสมบัติโดดเด่น มากกว่ายึดตามแท็กติกการเล่นของตัวเองที่พิสูจน์แล้วในระยะเวลาเกือบ 1 ปีว่าไม่ได้ผล
และจะดีกว่าไหมหากจะเปลี่ยนจากการยึดมั่นถือมั่น ตัวกู ของกู มาเป็นการคิดถึงส่วนรวมและหาทางที่จะพาทีมกลับมาค้นพบเส้นทางที่ควรจะไปที่ควรจะเป็นก่อน
การปรับเปลี่ยนไม่ใช่การยอมแพ้หรือละทิ้งตัวตน แต่เป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ หรือที่คนวัยทำงานยุคนี้เรียกกันว่า Upskill, Reskill เพื่อพัฒนาไปให้ไกลกว่าเดิม
ที่สำคัญ “ผู้นำที่ดี” ควรจะคิดถึงใครมากกว่ากันระหว่างตัวเองหรือส่วนรวม?
แค่นี้อโมริมจะคิดไม่ได้เลยหรือ?
ต่อคำถามข้างบนคำตอบที่คิดว่าพอจะตอบแทนได้คือ อโมริมไม่ใช่คิดไม่ได้ แต่อาจจะไม่เคยคิด เพราะถ้าคิดได้คงไม่เลยเถิดมาถึงป่านนี้
และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเลือกใช้วิธีแบบ “จบที่เรา เบาที่สุด” ด้วยสิ่งที่หลายคนคิดว่าคือการลาออกในช่วงพักโปรแกรมทีมชาติที่จะเกิดขึ้นหลังจบเกมที่จะพบกับเบิร์นลีย์ในสุดสัปดาห์นี้
การลาออกนั้นในแง่ดีสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด หมายถึงการที่สโมสรอาจจะไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยจำนวนมาก
และเป็นที่เชื่อได้ว่านี่อาจจะเป็นจุดต่ำที่สุดของสโมสรแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เข้ามาแทนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น
แต่ในแง่ร้ายที่สำคัญกว่ามากคือการลงทุนทั้งเงินทองและเวลาของสโมสรจะสูญเปล่าอย่างน่าเสียดาย
ความจริงอย่างที่บอกว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ดูขี้เหร่นักในช่วงพรีซีซั่น มันพอมองเห็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และการที่ทีมจัดซื้อจัดจ้างพยายามหานักเตะระดับท็อปมาเสริมทีมอย่างยากลำบาก คือการแสดงออกที่ชัดเจนว่าบอร์ดบริหารสนับสนุนเขาเต็มที่
แตกต่างจากกรณีของเอริค เทน ฮาก ที่แม้จะเสนอสัญญาฉบับใหม่ให้พร้อมซื้อผู้เล่นมาเสริมทัพให้อีกชุดหนึ่ง (200 ล้านปอนด์เช่นกัน) แต่ก็เป็นการทำแบบเสียมิได้ เพราะดันเสียท่าหาคนที่รู้สึกว่าใช่มาแทนที่ไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่พ้นการโดนปลดจากตำแหน่งอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อฝ่ายบริหารเลือกที่จะเดิมพันกับเขาแล้ว พวกเขาเองก็ไม่อยากเสียหน้าเหมือนกันว่าเลือกคนผิดอีกครั้ง ทั้งๆ ที่คิดว่าดีแล้วเชียว
สิ่งที่อโมริมต้องทำมีเพียงแค่การพาทีมค่อยๆ กลับมาสู่จุดที่ควรจะเป็นให้ได้ เก็บเล็กผสมน้อย ค่อยๆ ค้นหาชัยชนะไปเรื่อยๆ
แต่ก็นั่นแหละ หากอโมริมรู้สึกว่าเขาเห็นมาพอแล้วว่านักเตะไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่เอาอะไรทั้งนั้น และคนที่เป็นปัญหาคือตัวของเขาเอง บางทีการตัดสินใจลาออกคนเดียวก็ง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงทีมแบบยกชุด
ถ้าเขาจะตัดสินใจแบบนั้นจริง ที่เหลือก็อยู่กับฝ่ายบริหารโดยเฉพาะเซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์
เพราะเขาจะเป็นคนต่อไปที่จะต้องถูกตั้งคำถามถึงวิสัยทัศน์และการตัดสินใจ ในฐานะที่มีส่วนเลือกอโมริมมาทำงานเองกับมือ
แต่ถ้ามันเป็นเพียงแค่อารมณ์อ่อนไหวในความพ่ายแพ้ อย่างน้อยที่สุดเขาต้องหาทางและคำตอบให้ได้ ว่าสิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างมันกลับมาดีให้ได้อีกครั้งคืออะไร ต้องทำอะไร
บางครั้งมันอาจจะเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด
คือการยอมรับความผิดของตัวเอง