ท่ามกลางสภาวะตลาดการลงทุนที่มีความผันผวนและคาดการณ์ทิศทางได้ยาก การจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงการลงทุนจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมรับมือ Royalty เป็นสินทรัพย์นอกตลาดที่มีความผันผวนต่ำที่จะเข้ามาช่วยบริหารพอร์ตลงทุน
ภูดินันท์ ฉัยากร Principal ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า ภายใต้การสภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวน แนะนำให้นักลงทุนควรปรับพอร์ตโดยรวมเพื่อลดระดับความเสี่ยงลง และทำ Asset Allocation โดยเพิ่มสินทรัพย์ที่ไม่มีความผันผวนตามสภาวะตลาดเข้าไปในพอร์ต
โดยสินทรัพย์ที่ถูกแนะนำคือ Royalty (รอยัลตี้) ซึ่งเป็นสินทรัพย์นอกตลาด (Non-Market Assets) ที่โดดเด่นในเรื่องของความสามารถในการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ แถมยังมีโอกาสที่รายได้จะเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย
Royalty คืออะไร และทำไมจึงน่าสนใจในช่วงตลาดผันผวน
รอยัลตี้ คือ สิทธิในการรับรู้รายได้จากสินทรัพย์อ้างอิง โดยเป็นสัญญาที่ผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากส่วนแบ่งของรายได้ (Revenue Share) ที่สินทรัพย์หรือสินค้านั้นสร้างยอดขาย สินทรัพย์ประเภทนี้ถือว่าไม่ใช่ของใหม่ เนื่องจากนักลงทุนสถาบันทั่วโลกมีการลงทุนอยู่แล้ว และมีมูลค่าตลาดโดยรวมสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตัวอย่างของสินทรัพย์ Royalty ได้แก่ ลิขสิทธิ์เพลง และ สิทธิบัตรยา (Intellectual Property หรือ IP)
จุดเด่นสำคัญของสินทรัพย์ Royalty มีดังนี้
- ความผันผวนต่ำ รายได้ของรอยัลตี้ไม่ได้รับผลกระทบหรือผันผวนไปตามสภาวะเศรษฐกิจหรือสภาวะการลงทุนใด ๆ ยกตัวอย่างเช่น การซื้อขายยาหรือการรักษาพยาบาลยังคงเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ เช่นเดียวกับการดูหนัง ดูซีรีส์ หรือฟังเพลงที่ยังคงเกิดขึ้นทุกวัน
- รับส่วนแบ่งจากยอดขายเท่านั้น ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมามีความน่าสนใจสูงมาก เพราะผู้ลงทุนรับส่วนแบ่งของรายได้จากยอดขาย (By Gross Revenue) โดยตรง โดยไม่ต้องหักกลบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) หรือค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นที่ต้องร่วมรับรู้ทั้งรายได้และรายจ่ายก่อนจะเหลือเป็นกำไร
- มีโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Upside) หากยอดขายของสินทรัพย์ (เช่น เพลงติดฮิตทั่วโลก หรือ ยาขายดีกว่าที่คาดการณ์ไว้) เพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้ ผู้ลงทุนก็จะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งไม่จำกัดเหมือนการลงทุนในตราสารหนี้ที่รับผลตอบแทนแบบ Fixed Coupon
- การลงทุนในรอยัลตีมีระยะยาว โดยสัญญาอาจยาวกว่า 5 หรือ 10 ปีขึ้นไป ในกรณีของลิขสิทธิ์เพลง สัญญาอาจสูงถึง 50-70 ปี หรืออาจยาวเกือบ 100 ปี นับจากเจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตไปแล้ว 70 ปี
ส่วนเหตุผลที่เจ้าของสิทธิ์ตัดสินใจขายนั้น เนื่องมาจากความแตกต่างในความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ เช่น บริษัทวิจัย, มหาวิทยาลัยที่อาจไม่เก่งเรื่องธุรกิจ หรือศิลปินที่ต้องการเงินก้อนทันทีเพื่อใช้ชีวิต แทนที่จะรอเก็บรายได้จากยอดสตรีม ซึ่งถือเป็นลักษณะที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (Win-Win)
เปิดโอกาสใหม่ กองทุน SCB Royalties Opportunities
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าถึงสินทรัพย์นี้ SCBAM ได้นำเสนอกองทุน “กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ Royalties Opportunities” ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอขาย IPO
เปิดลักษณะและข้อกำหนดของกองทุน
- กองทุนนี้เป็น Complex Fund ซึ่งนักลงทุนที่จะสามารถลงทุนได้จะต้องเป็น นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth – UHNW) เท่านั้น โดยในเกณฑ์ของไทย ลูกค้า UHNW จะต้องมี Net Worth ประมาณ 70 ล้านบาทขึ้นไป
- เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีการเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายบุคคลประเภท UHNW สามารถเข้ามาร่วมลงทุนในสินทรัพย์นี้ได้
- กองทุนหลักบริหารจัดการโดย Partners Group ซึ่งเป็นผู้นำในการลงทุนในสินทรัพย์ Royalties
- เป็นกองทุนเปิดที่ไม่มีกำหนดอายุโครงการ และกระจายการลงทุนในหลากหลาย Sector โดยมีสภาพคล่องที่สูงกว่า Private Asset อื่นๆ โดยสามารถซื้อได้ทุกเดือน และขายคืนได้ทุกไตรมาส
เจาะพอร์ตโฟลิโอ Royalty และการคาดการณ์ผลตอบแทน
กองทุนนี้มีการคาดหวังที่จะลงทุนใน 3 Sector หลัก
- ผลิตภัณฑ์ยา (Pharma) จะเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของพอร์ต เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการซื้อขายสิทธิรายได้อยู่แล้วในต่างประเทศ
- ลิขสิทธิ์เพลงและสื่อ (Music/Media) รวมถึงเพลงจากซีรีส์ Friends หรือภาพยนตร์ของ Warner Brothers
- พลังงาน/ก๊าซธรรมชาติ ในสหรัฐฯ เป็นสิทธิในการเก็บเกี่ยวรายได้จากการขายก๊าซธรรมชาติ
นอกจากนี้ กองทุนยังเปิดโอกาสในการลงทุนใน Sector ใหม่ๆ เช่น ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬา (American Football, Basketball) หรือ Branding/Character สินค้าแฟชั่น
รู้จักความเสี่ยงและการบริหารจัดการของ Royalty
ความเสี่ยงหลักของการลงทุนในรอยัลตีคือ ความเสี่ยงด้านการประเมินมูลค่า (Valuation) เนื่องจากเป็นการคาดหวังรายได้ในระยะยาว หากยอดขายไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เช่น เทรนด์การเปลี่ยนแปลง หรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน ก็อาจส่งผลกระทบได้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าวสามารถจัดการได้ด้วยการวิเคราะห์การลงทุนอย่างเข้มงวดและติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังมีกลไกในการจัดการในมุมของสัญญา (Royalties Contract) เช่น หากยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า อาจมีการปรับเพิ่มส่วนแบ่งการรับรายได้ (Sharing) ให้สูงขึ้น เช่น จาก 10% เป็น 20-30% ในปีถัดมา เพื่อให้ส่วนแบ่งรายได้ปรับเข้ามาชดเชยและคืนทุนได้เร็วขึ้น โดยทั่วไป ผู้จัดการกองทุนหลักมองระยะเวลาคืนทุน (Pay Period หรือ Break-even point) อยู่ที่ประมาณ 8-10 ปี หลังจากนั้นคือ เป็นกำไรล้วนๆ
ดังนั้นการลงทุนใน Royalty จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะยาว เพื่อยกระดับพอร์ตให้มีความเสถียรภาพมากขึ้น และมีผันผวนต่ำลง พร้อมกับโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีกว่า Private Credit หากยอดขายเติบโตสูงขึ้น
ภาพ: Drozd Irina/Shutterstock