คืนนี้แล้วนะครับที่เราจะได้ดูเกมที่น่าตื่นเต้นระหว่าง ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล กับ ‘หมาป่าเหลืองแดง’ โรมา ที่จะลงสนามในเวลา 01.45 น.
จากกระแสของเกมนี้ ทางเมืองนอกบอกว่าแรงกว่าอีกคู่ที่จริงๆ แล้วเป็นทีม ‘พี่เบิ้ม’ มากกว่าอย่าง บาเยิร์น มิวนิก ปะทะ เรอัล มาดริด ก็ไม่ผิดนักครับ
ส่วนหนึ่งเพราะลิเวอร์พูลก็ห่างหายจากการเข้าถึงรอบนี้ในแชมเปียนส์ลีกมา 10 ปี ขณะที่โรมาถือเป็น ‘ม้ามืด’ (หรือหมาป่ามืดดี?) ที่สร้างเซอร์ไพรส์ชนิดช็อกทั้งวงการและชนะใจคนทั้งโลกเมื่อสร้างปาฏิหาริย์ล้มบาร์ซาลงได้ในรอบที่แล้ว
อีกทั้งคู่นี้ยังมี ‘สตอรี’ ที่เป็นเรื่องราวและเรื่องเล่าเก่าๆ เมื่ออดีตกาลเยอะพอสมควร ตั้งแต่การพบกันในรอบชิงชนะเลิศปี 1984, โศกนาฏกรรมของอดีตกัปตัน ‘หมาป่า’ ผู้ไม่สามารถลืมความพ่ายแพ้ได้ในปี 1994, การกลับมาของ เชราร์ อุลลิเยร์ ผู้ยิ่งใหญ่ในปี 2001
แต่ก่อนจะไปขุดหาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ขอเอาเรื่องใหม่ที่น่าสนใจมาเล่าก่อนนะครับ
เรื่องที่ว่าคือเรื่องแท็กติกการเล่น โดยจะเน้นไปทางฝั่งโรมามากกว่า (ส่วนหนึ่งเพราะลิเวอร์พูลส่วนใหญ่ก็น่าจะพอรู้กันอยู่) ว่าพวกเขาเล่นกันอย่างไร ใครเป็นตัวอันตรายที่ไม่สามารถไว้ใจได้
มาว่ากันเลย!
หมาป่าหัวหมู่ทะลวงฟัน
คนที่แนวรับของลิเวอร์พูลต้องพึงระวังมากที่สุดหนีไม่พ้น เอดิน เชโก้ หัวหอกเทพหมาป่าที่กลับมาระเบิดฟอร์มร้อนแรงในวัย 32 ปี และเป็นคนสำคัญที่สุดในแนวรุกของโรมาในเวลานี้
ถึงอายุจะเลยหลักสามมาแล้ว แต่เชโก้ยังยอดเยี่ยมมากโดยเฉพาะเรื่องพละกำลัง ความแข็งแกร่ง ความเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือความอันตรายในการจบสกอร์ที่ยิงได้หมดทุกรูปแบบ เท้าขวา เท้าซ้าย ลูกโหม่ง ยิงใกล้ ยิงไกล
ที่สำคัญคือเชโก้เป็นคน ‘ใจใหญ่’ ด้วย
หลายต่อหลายครั้งที่เขาพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาไม่เคยกลัวคู่ต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หากใครไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาดี จะโดนอดีตกองหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เล่นงานอย่างแน่นอน
ดังนั้นเชโก้น่าจะเป็นงานหนักที่สุดเท่าที่แนวรับของลิเวอร์พูลเคยเจอมาในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะสำหรับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ภูผาหินของหงส์แดงที่ว่ากันว่าแกร่งนักแกร่งหนา วันนี้ได้พิสูจน์กับของจริงแน่นอนครับ
ถ้าเอาเชโก้อยู่ก็ถือว่าสอบผ่าน ยกระดับตัวเองไปอีกขั้น แต่ถ้าสอบไม่ผ่าน หงส์แดงป่วนแน่ๆ
กลาดิเอเตอร์ เด รอสซี
ถึงเชโก้จะเป็นตัวอันตรายคบไม่ค่อยได้ แต่คนที่เป็นเหมือน Summoner หรือ ‘ผู้อัญเชิญ’ เทพหมาป่าอย่างเชโก้ลงมาจุติคือ ‘เฒ่าหมาป่า’ (ตั้งชื่อให้ซะเลย) อย่าง ดานิเอเล เด รอสซี จอมทัพในแดนกลาง
เด รอสซี ชายผู้รับสืบทอดตำแหน่งผู้นำในทีมโรมาต่อจาก ฟรานเชสโก ต็อตติ กำลังอยู่ในช่วงปีที่ดีของชีวิตอีกครั้ง หลังผนึกกำลังในแดนกลางร่วมกับ เควิน สตรูทมัน และ รัดยา นาอิงโกลัน ได้อย่างลงตัว
นอกจากสไตล์การเล่นที่ดุดันห้าวหาญราวกับนักรบกลาดิเอเตอร์แล้ว เด รอสซี ยังเป็นกองกลางที่มีชั้นเชิงและวิสัยทัศน์สูงที่สุดคนหนึ่ง
หากปล่อยให้เขาได้มีพื้นที่และเวลาเล่น รับประกันได้ว่าจะมีบอลเปิดสวยๆ ถึงแดนหน้าอย่างเชโก้ได้ตลอดเวลา
ย้อนกลับไปในเกมรอบที่แล้วกับบาร์ซา แดนกลาง อาซูลกรานา ดันปล่อยให้ เด รอสซี เป็นอิสระ ทำให้เขามีพื้นที่ มีเวลามากพอจะเปิดบอลให้เชโก้ได้สร้างความอันตรายให้กับแนวรับของบาร์ซาจนปั่นป่วนเหมือนเจอ เฟร็ดดี้ ครูเกอร์ หลอกตลอดเวลา
ดังนั้นเกมนี้หากไม่อยากเจอปัญหา แดนกลางของหงส์แดงจะปล่อยให้เด รอสซี ลอยนวลไม่ได้เด็ดขาด
High Press
‘High Press’ หรือการเพรสซิ่งสูง คืออีกหนึ่งอาวุธของโรมาที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำลายโคตรทีมอย่างบาร์เซโลนาลงอย่างราบคาบ
จะว่าไปโดยหลักการแล้วมันก็เนื้อเดียวกันกับ Gegenpressing ของ เจอร์เกน คลอปป์ นั่นแหละครับ คือดันเกมขึ้นสูง ทำลายเกมตั้งแต่แดนบน โดยคนแรกที่เป็นตัว ‘Trigger’ หรือ ‘คนกดปุ่ม’ คือ เอดิน เชโก้ ที่ทำหน้าที่เดียวกับ โรแบร์โต เฟียร์มิโน ในการไล่บอลเป็นคนแรก
หากบอลผ่านคนแรกมา นักเตะโรมาที่ไล่ตั้งแต่แนวรุกอย่าง ปาทริก ชิค (สเตฟาน เอล ชาราวี, เซนกิซ อุนเดร์) มาจนถึงแดนกลาง เด รอสซี, เควิน สตรูทมัน และ รัดยา นาอิงโกลัน จะไล่บดตรงกลางสนาม ไม่เปิดพื้นที่หรือเปิดโอกาสให้คู่แข่งเล่นทันที ก่อนจะไปถึงแนวรับที่โหดเหมือนนักรบกลาดิเอเตอร์ ที่นำมาโดย คอสตาส มาโนลาส, ฮวน เฮซุส และ เฟเดริโก ฟาซิโอ
จุดนี้คือ ‘คีย์’ ที่ทำให้พวกเขาต้อนบาร์ซาจนอยู่หมัดในเกมที่แล้ว ด้วยความแข็งแกร่งที่มีมากกว่า ผสมกับระเบียบวินัยหัวใจนักสู้
ถ้าลิเวอร์พูลจะผ่านโรมาได้ พวกเขาก็ต้องทำให้ได้แบบเดียวกัน นั่นคือต้องใส่กันยับไปข้างหนึ่ง เพรสมาเพรสกลับ ไล่มาไล่กลับ หวดมาหวดกลับ ไม่โกง
บาร์ซาพลาดตรงที่พวกเขาชะล่าใจกับผล 4-1 ลงเล่นมาแบบไม่ได้เตรียมใจจะเจองานหนักระดับสาหัส สุดท้ายก็พ่ายพลังใจของโรมา ตรงนี้ก็รอดูว่าลิเวอร์พูล เจอทีมใจใหญ่เหมือนกันแล้วจะเล่นออกไหม
หมาป่าผู้พิทักษ์
พูดถึงจุดอื่นไปแล้ว อีกจุดที่ไม่พูดก็ไม่ได้คือ อลิสสัน หมาป่าผู้พิทักษ์ที่เป็นอีกหัวใจสำคัญที่ช่วยให้โรมามาถึงตรงนี้ได้
ความเก่งกาจของประตูวัย 25 ปีเป็นที่ระบือไกล ทีมใหญ่แทบทุกทีมต่างต้องการได้ตัวนายทวารที่ว่ากันว่ามีโอกาสจะก้าวเป็นมือหนึ่งของทีมชาติบราซิล (ซึ่งลิเวอร์พูลก็เป็นหนึ่งในทีมที่มีกระแสข่าวมายาวนาน)
อลิสสันโดดเด่นด้วยปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ขั้นเทพ เป็น Shot Stopper เกรดท็อปที่สามารถหยุดบอลได้แทบทุกลูก นอกจากนี้ยังมีความกล้าหาญไม่เคยกลัวใคร และยังฉลาดในการเปิดเกม ซึ่งจุดนี้ถือว่าช่วยทีมได้มากกว่าแค่การเป็น ‘ปราการด่านสุดท้าย’ เพราะยังเป็น ‘ตัวขับเคลื่อนทีมจากแนวรับ’ ได้ด้วย
ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะเคยได้ยินเสียงร่ำลือกันมาเยอะ เดี๋ยววันนี้จะได้เห็นกันไปเลยว่าที่เขาว่าแน่น่ะมันจะแน่สักแค่ไหน โดยเฉพาะเดอะ ค็อป จะได้เห็นไปเลยว่าเก่งกว่า ลอริส คาริอุส ที่กลับมาเข้าฟอร์ม ‘เทพอุส’ จริงหรือเปล่า?
ดิ ฟรานเชสโก = คลอปป์ อิตาลี
อาวุธสุดท้ายของโรมา คือจอมบัญชาการอย่าง ยูเซบิโอ ดิ ฟรานเชสโก ซึ่งว่ากันว่าเขาเป็น ‘เจอร์เกน คลอปป์ ฉบับอิตาลี’
ปัจจุบัน ดิ ฟรานเชสโก อายุ 48 ปี น้อยกว่าคลอปป์แค่ 2 ปีเท่านั้น แต่ประสบการณ์ในการทำงานแทบไม่แตกต่างกัน เขาคุมทีมมาแล้ว 13 ปี เท่ากับจำนวนปีที่คลอปป์ ผ่านงานมาเหมือนกัน
ทั้งสองเริ่มต้นงานคุมทีมกับสโมสรเล็กๆ ก่อนจะไต่ระดับขึ้นมาสู่สโมสรระดับท็อปเหมือนกัน โดย ดิ ฟรานเชสโก เริ่มต้นจากเวอร์ตุส ลานเซียโน, เปสคารา, เลชเช และมาเปล่งประกายกับซาสซูโอโล ก่อนจะได้โอกาสมาทำทีมใหญ่ ซึ่งเป็นทีมเก่าที่เขาเคยค้าแข้งมาก่อนอย่างโรมาในฤดูกาลนี้เอง
ทั้ง ดิ ฟรานเชสโก และคลอปป์ นอกจากจะเป็นคนที่มีจิตวิทยาในการทำงานสูง ต่างก็เป็นสองกุนซือที่ดูมี ‘พลังพิเศษ’ บางอย่าง ที่ทำให้นักเตะในทีมสามารถเล่นได้มหัศจรรย์ในเกมใหญ่ได้เสมอ
มากกว่านั้นคือเขาสามารถคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆ ได้ เหมือนที่ปรับจากระบบ 4-3-3 ที่ใช้เป็นประจำมาใช้ 3-5-2 แทนในเกมปราบบาร์ซา
แท็กติกบางส่วนมีความคล้ายกัน แค่สไตล์อาจจะแตกต่างกัน ขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกก็มีชวนให้สับสน เพราะใส่แว่นเหมือนกัน มีหนวดเหมือนกัน ทัศนคติในการทำทีมก็คล้ายกัน และสำคัญที่สุดคืออินเนอร์มาเต็มเหมือนกัน!
วันนี้ ดิ ฟรานเชสโก บอกว่าเขาจะไม่มา ‘อุด’ ในการเยือนแอนฟิลด์แน่ แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือเปล่าต้องรอติดตามกันในคืนนี้ครับ
อ้างอิง:
- www.thetimes.co.uk/edition/sport/times-sport-dissects-liverpool-must-be-wary-of-dzeko-and-roma-s-high-press-8glr8mk9t
- www.espn.com/soccer/uefa-champions-league/2/blog/post/3468977/liverpool-roma-connection-beyond-champions-league-is-boston-businessmen-in-charge
- ก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น โรมาเดินทางมาที่อนุสรณ์ผู้เสียชีวิตจากเหตุโศกนาฏกรรมที่สนามฮิลส์โบโร เพื่อร่วมรำลึกถึงผู้วายชนม์ทั้ง 96 คนก่อนเกม เป็นเรื่องที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
- สมัยเป็นผู้เล่น ดิ ฟรานเชสโก เป็นกองกลางฮาร์ดแมนสายบู๊ มีภาวะผู้นำสูงมากและอึดไม่แพ้ใคร เป็นมดงานที่สำคัญมากของโรมา และเป็นหนึ่งในขุนพลชุดที่ได้แชมป์เซเรีย อา เมื่อปี 2001 ร่วมกับ ‘เจ้าชายหมาป่า’ ฟรานเชสโก ต็อตติ ก่อนจะอำลาทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาลนั้น
- ลิเวอร์พูลกับโรมามีการโยกย้ายนักฟุตบอลระหว่างทีมกันบ้างในระยะหลัง โดยก่อนหน้านี้มี ยอห์น อาร์เน รีเซ แบ็กซ้ายพลังช้างที่ไปเล่นให้โรมา และปัจจุบันคือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่ย้ายมาเล่นให้กับลิเวอร์พูล
- การย้ายทีมของซาลาห์เป็นเรื่องที่โรมาแอบเจ็บปวด เพราะจำเป็นต้องปล่อยตัวออกมาเพื่อรักษาสถานะทางการเงินไม่ให้มีปัญหา ทำให้ลิเวอร์พูลได้เพชรเม็ดงามมาเชยชม
- หลายคนอาจไม่ทราบหรือลืมไปแล้วว่า ลิเวอร์พูลและโรมามีกลุ่มเจ้าของสโมสรที่ใกล้ชิดกันอย่างมาก เป็นกลุ่มนักลงทุนชาวอเมริกันในบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยเจ้าของลิเวอร์พูลคือกลุ่ม Fenway Sports Group ซึ่งเป็นเจ้าของทีมเบสบอล The Boston Red Sox ด้วย ขณะที่เจ้าของกลุ่มโรมาคือ Raptor Group เป็นเจ้าของทีมบาสเก็ตบอล Boston Celtics