หลายคนที่เคยใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้า BTS น่าจะคุ้นชินกับหน้าจอที่มีสื่อบันเทิงหลากหลาย โดยเฉพาะโฆษณาทั้งในพื้นที่สถานีและภายในตัวรถไฟฟ้า
รู้หรือไม่ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังระบบเหล่านี้ คือ บริษัทที่ชื่อว่า ROCTEC หรือ บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน)
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน หลังจากที่ประเทศไทยเริ่มมีรถไฟฟ้าสายแรก คือ รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวที่เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 2542 หลังจากนั้น BTS กำลังมองหาโซลูชั่นเกี่ยวกับความบันเทิงและการขายพื้นที่โฆษณาบนรถไฟฟ้าที่ดียิ่งขึ้น ก่อนจะดึง ROCTEC เข้ามาเสริมในจุดนี้
“ผมคิดว่าเราเป็นบริษัทแรกของโลกที่สร้างระบบความบันเทิงขนาดใหญ่แบบนี้ในรถไฟฟ้า” เว่ย แซม แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ROCTEC เล่าถึงความเชี่ยวชาญของ ROCTEC ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ในเวลานั้น ROCTEC คือผู้ให้บุกเบิกการให้บริการด้านนี้ในฮ่องกง และต่อยอดไปยังรถไฟฟ้าในมาเก๊า ก่อนจะเริ่มเข้ามาทำธุรกิจในไทยภายใต้โครงการของ BTS ตั้งแต่ปี 2547
ความเชี่ยวชาญของเราคือการพัฒนาระบบ ICT ให้เข้ากับความต้องการที่หลากหลาย อย่างรถไฟฟ้าในอดีตไม่มีหน้าจอเพื่อบอกผู้โดยสารว่าสถานีถัดไปคืออะไร และไม่มีระบบความบันเทิงอื่นๆ เป็นที่มาของการพัฒนาระบบดิจิทัลพิเศษภายในรถไฟฟ้า ทั้งส่วนของจอ LCD ซอฟต์แวร์และระบบเครือข่ายเพื่อถ่ายโอนสัญญาณ เช่น รายงานข่าวตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มี 4G หรือ 5G
จาก MACO สู่ ROCTEC
จากความสำเร็จในฮ่องกงและมาเก๊า ROCTEC Technology ต่อยอดธุรกิจมายังแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม ทำให้บริษัทมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบ ICT โดยเฉพาะด้านการสื่อสารในระบบรางขนาดใหญ่ของแต่ละประเทศ
สำหรับในไทย เดิมที ROCTEC ที่อยู่ในกลุ่ม BTS ภายใต้ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO ที่เข้า ก่อนจะทรานส์ฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2566 และเปลี่ยนชื่อมาเป็น ROCTEC เพื่อรุกธุรกิจบริการ ICT เต็มตัว
หากดูโครงสร้างรายได้ของบริษัทในปัจจุบันก็จะเห็นการภาพค่อนข้างชัดเจน จากเดิมที่เราคุ้นชินว่า MACO คือธุรกิจสื่อโฆษณา โดยเฉพาะสื่อนอกบ้าน (Out of Home Media) แต่ปัจจุบันรายได้ของธุรกิจนี้ลดลงเหลือเพียง 15% ขณะที่ธุรกิจบริการ ICT มีสัดส่วนรายได้ราว 85% โดยรายได้ทั้งหมดในปัจจุบันมาจากต่างประเทศ 60% และในประเทศ 40%
เบื้องหลังการทรานส์ฟอร์มธุรกิจครั้งใหญ่
เว่ย แซม แลม เล่าต่อว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ROCTEC เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหน้าจอต่างๆ บนรถไฟฟ้า BTS รวมทั้งหน้าจอดิจิทัลขนาดใหญ่นอกบ้านสำหรับโฆษณาเกือบทั้งหมด แต่ธุรกิจสื่อโฆษณานั้นค่อนข้างผันผวนขึ้นอยู่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และเป็นธุรกิจที่รายได้ขึ้นลงเป็นฤดูกาล ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ROCTEC ทรานส์ฟอร์มและปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งใหญ่
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงโควิด-19 เราเห็นว่าอัตรากำไรของธุรกิจโฆษณาลดลง หรือไม่มีกำไรเลยในบางช่วง ในทางกลับกันเราเห็นว่าอัตรากำไรและรายได้ของธุรกิจ ICT ยังค่อนข้างคงที่ เมื่อเทียบกับธุรกิจสื่อ” ซีอีโอ ROCTEC กล่าว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เราเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะเติบโตต่อไปด้วยธุรกิจสื่อ ขณะที่ธุรกิจ ICT ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับเทรนด์ Digital Transformation ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยปรับปรุงสินค้าและบริการของแต่ละธุรกิจ
อย่างในอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าในฮ่องกง ช่วง 5-8 ปีที่ผ่านมา มีความต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างการนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Internet of Things รวมทั้งเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยปรับปรุงบริการและความปลอดภัย เช่น ระบบรถไฟรางเบาที่สัญจรพร้อมกับการจราจรบนถนนอื่นๆ ในอดีตอาจจะเกิดอุบัติเหตุชนกับรถสาธารณะอื่นๆ ซึ่งเราก็เข้าไปช่วยติดตั้งตัวควบคุมอัจฉริยะและเซ็นเซอร์ IoT บนถนน ตั้งแต่ 8 ปีก่อน ซึ่งช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บริการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งนวัตกรรมอื่นๆ เช่น โครงการตู้บริการตนเองอัตโนมัติ (Self-service iPostal Kiosk) ที่ดำเนินการร่วมกับไปรษณีย์ฮ่องกง ที่ผู้คนสามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ที่ทำการไปรษณีย์เปิดเพื่อส่งพัสดุหรือซื้อแสตมป์
R&D คือหัวใจความสำเร็จ
แม้ ROCTEC จะมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรม ICT มากว่า 40 ปี แต่เรายังเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในไทย แต่ข้อได้เปรียบของเราคือทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญจากฮ่องกง และประสบการณ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมขนส่ง ทั้งระบบขนส่งทางรางและสนามบินในฮ่องกง หมายความว่าผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในมาตรฐานสากล ช่วยให้สามารถโน้มน้าวลูกค้าได้ง่ายขึ้น
หัวใจสำคัญที่ช่วยให้ ROCTEC ประสบความสำเร็จมาจากการมีทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ของตัวเอง ช่วยเราสามารถควบคุมคุณภาพ ต้นทุน และการแก้ปัญหาระหว่างทางได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
“ROCTEC มีทีม R&D มาเกือบ 25 ปี โดยมีผมเป็นพนักงานคนแรกในทีม” เว่ย แซม แลม กล่าว
เป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า และความท้าทายของการทรานส์ฟอร์ม
หากมองไปยังอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้า เป้าหมายของ ROCTEC คือการเป็นผู้นำด้านการให้บริการ ICT ในประเทศไทย โดยใช้ความเชี่ยวชาญจากฮ่องกงมาขยายธุรกิจในแนวกว้างมากขึ้น พร้อมกับการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น เวียดนามซึ่งจัดตั้งบริษัทขึ้นมาแล้ว รวมถึงการขยายธุรกิจในสิงคโปร์ผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในพื้นที่
ส่วนธุรกิจสื่อโฆษณาที่เคยเป็นธุรกิจหลักของ MACO และ ROCTEC ในอดีต ปัจจุบันได้ถูกโอนย้ายไปให้พาร์ทเนอร์อย่าง Plan B เป็นผู้บริหารจัดการสินทรัพย์ในส่วนนี้ โดย ROCTEC ยังคงเป็นเจ้าของสินทรัพย์แต่ไม่เน้นการทุ่มเททรัพยากรไปกับธุรกิจนี้แล้ว เนื่องจากสัญญาที่มีอยู่จะหมดลงในปี 2572
อย่างไรก็ดี ความท้าทายที่สำคัญคือการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพในอุตสาหกรรมนี้ รวมทั้งการปรับเปลี่ยน mindset ของพนักงานที่เคยทำงานด้านสื่อโฆษณามาเป็นเวลานานให้เข้าใจและคุ้นเคยกับธรรมชาติของธุรกิจ ICT ที่แตกต่างกัน ผสานกับการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยงานในระดับเริ่มต้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมพัฒนา
“ROCTEC นำ AI มาใช้ในสองด้านหลักๆ ด้านหนึ่งคือการใช้ AI เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานภายใน เช่น การใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ในส่วนที่สองคือการใช้ AI เพื่อให้บริการลูกค้า เช่น ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาหรือแก้ปัญหาระหว่างการใช้บริการให้กับลูกค้า” เว่ย แซม แลม กล่าว
จากความสำเร็จในอดีตสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในปัจจุบัน ROCTEC ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนบนเส้นทางใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาส แม้ว่าความท้าทายในตลาด ICT ของไทยจะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 40 ปี ทีม R&D ที่แข็งแกร่ง และการสนับสนุนจากกลุ่ม BTS ทำให้ ROCTEC พร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน ICT อย่างเต็มตัว และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทยและภูมิภาคนี้ต่อไปในอนาคต