×

โรแบร์ ปิแรส เปิดใจกับ THE STANDARD “หาคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา จงมีหัวใจที่แข็งแกร่ง”

23.11.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 MINS READ
  • โรแบร์ ปิแรส เน้นย้ำอีกหลายครั้งถึงเรื่องแฟนฟุตบอล ซึ่งเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญต่อคนเหล่านี้ โดยเฉพาะกับคนที่ยังจำเขาได้ แม้ว่าวันเวลาและเรื่องราวของเขาจะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม
  • นอกเหนือจากความทุ่มเทและความพยายาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้คือการต้องหาคนที่เชื่อในความสามารถของเรา
  • เรื่องความเข้มแข็งของจิตใจคือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถสอนได้ ซึ่งมันเกิดจากการบาดเจ็บรุนแรงที่เอ็นหัวเข่า​ถึง 2 ครั้ง
  • ครูคนแรกในชีวิตของปิแรสคือพ่อ และในวันนี้ เตโอ ปิแรส ลูกชายของเขาก็กำลังเดินตามรอยแบบเดียวกัน

อาจเพราะหนวดและเครากับรอยยับย่นบนใบหน้า ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะเกิดความไม่แน่ใจว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้านั้นคือคนที่เรามองหาอยู่หรือไม่

 

แต่เมื่อรอยยิ้มกว้างปรากฏพร้อมกับแววตาที่เบิกกว้าง ภาพในกล่องความทรงจำได้ถูกนำพามาซ้อนทับกับภาพจริงที่อยู่ตรงหน้า

 

โรแบร์ ปิแรส ใช่เขาจริงๆ

 

ปิแรสคืออดีตปีกที่ดีที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย ผู้ผ่านการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แชมป์ฟุตบอลยูโร รวมถึงเป็นหนึ่งในขุนพล The Invincibles ที่นำอาร์เซนอลพิชิตพรีเมียร์ลีกได้แบบ ‘ไร้พ่าย’ ตลอดทั้งฤดูกาล ซึ่งเป็นทีมแรกและยังคงเป็นทีมเดียวที่ทำได้

 

ภาพการกระชากบอลด้วยลีลาและท่วงท่าสง่างาม เช่นกันกับการเล่นที่ฉลาดเป็นกรด เปี่ยมด้วยไหวพริบปฏิภาณและจินตนาการในการเล่น คือสิ่งที่แฟนฟุตบอลในยุค Y2K เคยเห็นอย่างคุ้นต

 

คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้นะครับ เพราะ ณ เข็มนาฬิกาที่เดินไป เรื่องราวเหล่านั้นผ่านพ้นมานาน นานจนกลายเป็นเรื่องเล่าในวันเก่า และนานพอที่จะเปลี่ยนแปลงใครสักคนจากวัยหนึ่งสู่อีกวัยหนึ่งได้โดยไม่รู้จะปฏิเสธคำร้องขอของกาลเวลาอย่างไร

 

ปีกหน้าหยกในวันวานอย่างปิแรสก็กลายเป็นหนุ่มใหญ่ที่ดูสูงวัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

แต่อย่างที่บอก รอยยิ้ม แววตา และความเป็นคนอารมณ์ดีของเขายังเหมือนเดิม

 

“สวัสดี” ปิแรสส่งคำทักทายมาให้อย่างเป็นทางการเพื่อเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างเรา

 



ปิแรสมาปรากฏตัวที่ประเทศไทยตามภารกิจการเป็นทูตของ ‘ลาลีกา’ เพื่อมาร่วมงานใหญ่ของวงการกีฬาระดับเอเชีย SPIA Asia 2018 งานประชุมและประกาศรางวัลอุตสาหกรรมกีฬาแห่งเอเชียที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

นี่เป็นการมาเยือนไทยเป็นครั้งแรกของเขาด้วย และกระทงใบใหญ่ที่ทีมงานส่งให้เพื่อถ่ายทำวิดีโอส่งคำอวยพรให้แก่แฟนฟุตบอลในไทยก็ทำให้เขาแอบประหลาดใจไม่น้อย

 

“ถ้าจุดไฟก็จะสวยนะ” เขาแนะนำระหว่างพินิจกระทงที่ไม่หลงทางไปพร้อมกัน

 

สำหรับคนไทย เราลอยกระทงตามความเชื่อว่าเป็นการทำเพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา มารดาแห่งทุกชีวิตบนโลก หลังจากที่เราได้ทำให้สายน้ำนั้นแปดเปื้อนด้วยสิ่งสกปรก ของสกปรก และเรื่องสกปรกต่างๆ ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

 

แต่สำหรับปิแรส กระทงนี้เป็นเหมือนกุญแจดอกแรกที่ใช้เพื่อเปิดประตูและส่งความสุขให้แก่แฟนฟุตบอลในสยามประเทศ

 

เพราะแฟนบอลเองก็มอบความสุขให้แก่เขาเช่นกันตลอดช่วงระยะเวลาเพียงไม่นานที่มาถึงกรุงเทพฯ และสำหรับเขา เรื่องนี้มีความหมายต่อชีวิต

 

“ผมมีความสุขมากครับที่ได้มาที่นี่ คราวนี้ผมมาในฐานะทูตของลาลีกา ผมดีใจที่ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ได้พบผู้คน ได้พบแฟนๆ ได้ถ่ายรูป ได้แจกลายเซ็น”

 

 

ปิแรสยังพูดเน้นย้ำอีกหลายครั้งถึงเรื่องแฟนฟุตบอล ซึ่งเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญต่อคนเหล่านี้ โดยเฉพาะกับคนที่ยังจำเขาได้ แม้ว่าวันเวลาและเรื่องราวของเขาจะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม

 

เขายอมรับว่า ‘เซอร์ไพรส์’ ที่แฟนบอลยังจำเขาได้ แต่ก็เป็นความเซอร์ไพรส์ที่เขายินดีจะน้อมรับมันด้วยความยินดี

 

ราวกับว่าความรู้สึกนี้เป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงชีวิตที่สำคัญ



ภาพในความทรงจำของหลายคน ปิแรสคือปีกตัวฉกาจของอาร์เซนอล ในวันที่มีเขาเคียงข้างด้วย แอชลีย์ โคล และเธียร์รี อองรี มันคือฝันร้ายของทีมคู่ต่อสู้ที่ไม่ว่าจะเป็นทีมไหน บทสรุปของทุกทีมก็แทบจะเหมือนกันคือเกมรับถูกฉีกขาดให้เป็นริ้วและจบลงด้วยการเสียประตูทุกที

 

มันคือช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของเขา เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดหากไม่นับการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998 และแชมป์ฟุตบอลยูโรในปี 2000

 

ในฤดูกาล 2003-04 เขากับเพื่อนร่วมกันสร้างตำนานไร้พ่ายขึ้น ความจริงแล้วอาร์เซนอลไม่เพียงแค่จบฤดูกาลด้วยการไม่แพ้ใคร 38 นัดเท่านั้น พวกเขาทำได้มากกว่านั้น โดยรวมสถิติจากฤดูกาลก่อนหน้าและฤดูกาลหลังจากนั้น กันเนอร์สสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นถึง 49 นัดติดต่อกัน

 

ก่อนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะสอนคำว่าแพ้ให้อาร์เซนอลรู้จักอีกครั้ง

 

สำหรับปิแรส ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นคือความอัปยศ เขารู้สึกในวันนั้นและยังคงรู้สึกในวันนี้ว่าอาร์เซนอลถูกปล้นชัยชนะและยัดเยียดความปราชัยให้อย่างไม่ยุติธรรม

 

แต่ความเจ็บปวดนั้นก็ยังไม่เท่ากับในวันที่เขาถูกเปลี่ยนตัวออกจากทีมในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี 2006 เมื่อ เยนส์ เลห์มันน์ นายทวารชาวเยอรมัน ถูกไล่ออกจากสนามตั้งแต่ต้นเกม ทำให้เขาต้องกลายเป็นผู้เสียสละโดนเปลี่ยนตัวออกเพื่อให้ มานูเอล อัลมูเนีย ผู้รักษาประตูสำรองลงมาเฝ้าเสาแทน

 

นาทีที่ 18 ของเกมวันนั้น ปิแรสต้องเดินออกจากสนามสตาดเดอฟรองซ์ สังเวียนที่เขาเคยได้ชูถ้วยฟุตบอลโลกอย่างรวดร้าว

 

มันคือฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเขาและอาร์เซนอล ข้อเสนอจากบิยาร์เรอัลที่ติดต่อมาก่อนหน้านี้ได้รับการพิจารณาก่อนที่ปิแรสจะทิ้งความเจ็บปวดไว้ที่ลอนดอน และไปเริ่มต้นใหม่ในสโมสรที่เล็กกว่าอาร์เซนอลมากมาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงขนาดของเมืองที่เป็นเหมือนเขตเขตหนึ่งในลอนดอน

 

การย้ายทีมครั้งนั้นถูกมองว่าเป็นการก้าวถอยหลังของปิแรส

 

แต่สำหรับเขาแล้ว ต่อให้มันเป็นการก้าวถอยหลัง แต่ก็เพียงก้าวเดียว เพราะหลังจากนั้นเขากลับมาค้นพบฟอร์มการเล่นที่ดีได้อีกครั้ง ซึ่งดีเสียยิ่งกว่าในช่วงฤดูกาลท้ายๆ ของเขากับอาร์เซนอลด้วยซ้ำไป

 

เรื่องนี้มันมีเหตุผลครับ

 

“ผมว่าสิ่งสำคัญมากๆ คือการที่เราต้องมีผู้จัดการทีมที่เชื่อในตัวเรา คนที่เชื่อในความสามารถของเรา ซึ่งผมโชคดีที่ได้พบกับ มานูเอล เปเยกรินี”

 

มากกว่านั้นคือการที่เขามีเพื่อนร่วมทีมที่ดีอย่าง ฮวน โรมัน ริเกลเม (นักฟุตบอลในแบบ ‘แฟนตาซิสตา’ หรือหมายเลข 10 แบบดั้งเดิมคนสุดท้ายของโลก), ดิเอโก ฟอร์ลัน ยอดดาวยิงชาวอุรุกวัย, มาร์กอส เซนนา กองกลางตัวรับทีมชาติสเปนที่โอนสัญชาติมาจากบราซิล และซานติ กาซอร์ลา ปีกดาวรุ่งของบิยาร์เรอัลในวันนั้น

 

คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนร่วมทีม แต่ยังเป็น ‘ครู’ ของเขาด้วย

 

“ผมคิดว่าผมเป็นคนที่โชคดีมากทีเดียว ผมได้เรียนรู้จากพวกเขาเยอะมาก”

 

โดยครูของปิแรสยังรวมถึง เดนนิส เบิร์กแคมป์, เธียร์รี อองรี ในทีมอาร์เซนอล และยูริ จอร์เกฟฟ์ ในทีมชาติฝรั่งเศสด้วย

 

แต่หากจะหาใครสักคนที่เป็นดังบรมครูสำหรับปิแรส ไม่สามารถจะมอบตำแหน่งนี้ให้กับใครอื่นได้นอกจาก ซีเนดีน ซีดาน นักฟุตบอลที่สำหรับเขาแล้วเป็นที่หนึ่ง เหนือยิ่งกว่า ลิโอเนล เมสซี หรือคริสเตียโน โรนัลโด ยอดยุทธในรุ่นหลัง



อย่างไรก็ตาม ก่อนจะพบกับยอดนักเตะเหล่านี้ ปิแรสมีครูคนแรกที่ยิ่งใหญ่มากครับ

 

โดยเมื่อถามถึง ‘แรงบันดาลใจ’ จากไอดอลคนแรก นัยน์ตาของเขาเบิกโพลง น้ำเสียงนั้นจริงจังยิ่งกว่าเคย

 

“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตอน 7 ขวบ โดยที่ไอดอลหรือแรงบันดาลใจก็คือคุณพ่อของผมเอง

 

“พ่อของผมก็เป็นนักฟุตบอล ถึงจะไม่ได้เล่นในระดับสูง แต่การที่ผมได้ติดสอยห้อยตามไปทุกวันเสาร์ มันทำให้ผมซึมซับความหลงใหลที่มีต่อเกมฟุตบอลไปด้วย ไม่นับเรื่องของเทคนิคในการเล่น”

 

ปิแรสบอกด้วยรอยยิ้มว่าพ่อของเขาเล่นเป็นกองหน้า อาจจะตัวเล็ก แต่เจ็บจี๊ด!

 

 

แต่ความสง่างามในการเล่นของเขาซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ประจำตัวที่โดดเด่นได้มาจาก มิเชล เพลย์เมกเกอร์ชาวสเปนที่เป็นดาวเด่นของทีม ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ในช่วงทศวรรษที่ 80

 

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากคนอื่น แต่ก็มีบางสิ่งในชีวิตที่ปิแรสได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถสอนได้

 

สิ่งที่เขาได้เรียนรู้คือเรื่อง ‘จิตใจ’ โดยเฉพาะในช่วงของการบาดเจ็บรุนแรงที่เอ็นหัวเข่า​ซึ่งเกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง และมันเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิต

 

ในช่วงเวลานั้น แพทย์และนักกายภาพสามารถช่วยวางแผนในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายของเขาให้กลับมาแข็งแรงได้

 

เพียงแต่มันจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย หากหัวใจของเขาไม่เอาด้วย

 

โชคดีที่เขาก้าวข้ามมันมาได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง แม้ว่าจะเกือบแย่ก็ตาม

 

“มันเป็นช่วงเวลาที่หนักหนามากจริงๆ กับการต้องพักการเล่นนานถึง 6 เดือนในแต่ละครั้ง ในแง่ดีคือมันเป็นช่วงเวลาที่เราได้ฝึกจิตใจ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการเล่นฟุตบอล เราต้องมีหัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่ง เพราะขณะที่เพื่อนๆ กำลังออกไปซ้อมฟุตบอลข้างนอก เราต้องอยู่คนเดียว มีเพียงเราตัวคนเดียวจริงๆ

 

“เพียงแต่หากเรากลับมาได้ เราก็จะแกร่งขึ้นกว่าเดิม”

 

ดังนั้นแม้จะเจ็บรุนแรงที่เข่า ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ต่างจากการฆาตกรรมชีวิตนักเตะ แต่อย่างน้อยปิแรสก็ยังสามารถเล่นฟุตบอลกับบิยาร์เรอัลได้ถึง 4 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีของเขา ก่อนที่จะกลับมาเล่นในอังกฤษกับ เชราร์ อุลลิเยร์ ขรัวเฒ่าชาวฝรั่งเศสที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในทีมแอสตัน วิลล่า ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงฤดูกาลเดียว และถูกปล่อยตัวออกเมื่อจบฤดูกาล 2010-11

 

หลังจากนั้น 2 ปี ปิแรสกลับมาลงสนามอีกครั้งในเกมการกุศลเพื่อช่วยเหลือ สติลิยัน เปตรอฟ อดีตกัปตันทีมแอสตัน วิลล่า และในฤดูกาล 2014-15 เขากลับมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับทีมโกอาในอินเดียนซูเปอร์ลีก ลีกของอินเดีย แต่ก็เป็นฤดูกาลสุดท้ายในชีวิต

 

สำหรับเวลานี้ ปิแรสยืนยันว่าเขามีความสุขดีกับชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่คิดแสวงหาอะไรเพิ่มอีก โดยเฉพาะการทำงานในแวดวงโค้ชที่ไม่อยู่ในความคิด

 

“ผมเป็นทูตของลาลีกา เป็นทูตของอาร์เซนอล ผมมีชีวิตครอบครัวที่ดี ได้ออกเดินทาง ได้ไปในประเทศใหม่ๆ เหมือนเช่นประเทศไทย ได้เปิดหูเปิดตาในเมืองใหม่ๆ อย่างกรุงเทพฯ เชื่อผมเถอะว่าชีวิตของผมดีและสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว”

 

ปิแรสบอกว่าชีวิตของเขาในเวลานี้ ถ้าพูดเป็นสำนวนฝรั่งเศสคือ tout le feu vert

 

ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว

 

ที่เหลือจึงมีเพียงการเฝ้ารอดูลูกชาย เตโอ ปิแรส ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะเตโอก็อยากทำในสิ่งเดียวกับที่ปิแรสทำ คือการเดินตามรอยเท้าของพ่อ

 

หวังว่าเมื่อเขาได้โอกาสกลับมาไทยอีกครั้งในวันข้างหน้า เราคงจะได้นั่งคุยกันเรื่องของเตโอกันบ้าง

 

ผมเชื่อว่าวันนั้นเขาน่าจะมีอะไรสนุกๆ มาเล่าให้ฟังเราอีกเยอะ 🙂

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

FYI
  • ปัจจุบัน เตโอ ปิแรส เป็นกัปตันทีมอาร์เซนอลชุดอายุต่ำกว่า 10 ปี และหมายเลขเสื้อของเขาคือหมายเลข 7 เบอร์เก่งของพ่อ
  • หนึ่งในเรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิตที่ปิแรสเคยทำและยอมรับว่าพลาดคือการไม่เรียนภาษาอังกฤษในช่วงแรกที่ย้ายมาเล่นกับอาร์เซนอลในอังกฤษ เพราะคิดว่าในทีมมีผู้เล่นอังกฤษแค่ไม่กี่คน โดยที่เขายังสามารถพูดภาษาฝรั่งเศส สเปน หรือโปรตุเกสกับคนอื่นได้ (แต่ปัจจุบันปิแรสถือว่าพูดสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี)
  • เรื่องตลกร้ายของยอดปีกผู้นี้คือการที่ถูก เรย์มงด์ โดเมเน็ค อดีตโค้ชทีมชาติฝรั่งเศสหมางเมิน ไม่เรียกติดทีมชาติแบบไม่มีเหตุผล จนมีกระแสข่าวว่าปิแรสไปกิ๊กภรรยาของโค้ช (ซึ่งเจ้าตัวฮากลิ้ง) แต่ที่อาจมีมูลมากที่สุดคือโดเมเน็คเป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงมาก และเขาเชื่อว่าในทีมชาติของเขาไม่ควรมีนักเตะราศีกรกฎ ซึ่งปิแรสเป็นนักเตะในราศีนี้พอดี!
  • หนึ่งในเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาคือ นิฮัด คาห์เวซี ศูนย์หน้าชาวตุรกี ซึ่งย้ายมาร่วมทีมบิยาร์เรอัลในช่วงเวลาใกล้กัน (และเจ็บเข่าสาหัสไล่เลี่ยกัน เรียกว่าซี้กันในห้องพยาบาล) ปัจจุบันยังคงติดต่อไปมาหาสู่กันเสมอ
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X