Keith Gill อินฟลูเอ็นเซอร์การเงินชื่อดังในสหรัฐฯ เจ้าของบัญชี ‘DeepF——Value’ บน Reddit และบัญชี ‘Roaring Kitty’ บน YouTube และ X ปั้นเงินลงทุน 53,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) มาเป็น 289 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท) ภายในระยะเวลาประมาณ 5 ปี จากหุ้นมีมอย่าง ‘GameStop’ ที่กำลังกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
Keith มักใช้ช่องทางโซเชียลของตัวเองในการสร้างกระแสเกี่ยวกับหุ้นที่เขาถือครองอยู่ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 มิถุนายน) Keith โพสต์ภาพพอร์ตการลงทุนของเขาที่ถือครองหุ้น GameStop อยู่ 5 ล้านหุ้น และ Call Option อีก 120,000 หน่วย ที่กำไรกว่า 79 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.7 พันล้านบาท) ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน
หากพิจารณาที่สถานะการถือหุ้นของ Keith และราคาหุ้นของ GameStop ที่ 20 ดอลลาร์ในปัจจุบัน หากเขาใช้สิทธิ์การแปลง Call Option ทั้งหมด ก็จะแปลงได้ถึง 12 ล้านหุ้น รวมกับหุ้นเดิมของเขาอีก 5 ล้านหุ้น จะทำให้เขามีการถือครองหุ้นรวมถึง 17 ล้านหุ้น มากเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 4 ของบริษัท รองจากเพียงแค่ Vanguard, BlackRock และ RC Ventures ตามข้อมูลของ FactSet
และตามราคาของวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 มิถุนายน) หุ้น GameStop เคลื่อนไหวบริเวณ 28 ดอลลาร์ หากเขาใช้สิทธิ์ในการแปลง Call Option ทั้งหมด ก็จะทำให้มูลค่าการถือครองสูงถึง 476 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท)
หากพิจารณาราคาหุ้น GameStop ณ ช่วงจุดสูงสุดในเดือนพฤษภาคม ที่ 64.83 ดอลลาร์ มูลค่าการถือครองรวมหลังการใช้สิทธิ์ดังกล่าวจะสูงถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท) โดยอาจมีต้นทุนในการแปลงสิทธิ์สูงถึง 421 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์)
นับตั้งแต่ช่วงกันยายน 2019 Keith เริ่มมีการแชร์ข้อมูลผ่านช่องทางส่วนตัวเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น GameStop มูลค่า 53,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) ว่าอาจเป็นการลงทุนแบบ Deep Value ที่ราคาของบริษัทตกต่ำอย่างมาก ในจังหวะที่บริษัทกำลังพยายามทรานส์ฟอร์มธุรกิจ
ก่อนที่ในระยะเวลาต่อมาจะเริ่มกลายเป็นการผลักดันให้นักลงทุนรายย่อยช่วยกันทำ ‘Short Squeeze’ กับหุ้น GameStop ซึ่งเป็นภาวะที่ราคาของหุ้นที่ชอร์ตอย่างหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ขายชอร์ตต้องปิดสถานะ จนทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการต่อต้านเหล่านักลงทุนเฮดจ์ฟันด์
และ Keith ใช้สิทธิ์ในการแปลง Call Option ของ GameStop จำนวน 200,000 หุ้น ในช่วงเมษายนปี 2021 ที่การเก็งกำไรของหุ้น GameStop หมดไป และราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมา
อย่างไรก็ตาม Forbes ระบุว่า เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอ นักลงทุนระยะยาวควรหลีกเลี่ยงหุ้น GameStop อันที่จริงราคาเป้าหมายโดยเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ 6 ดอลลาร์ สะท้อนถึงโอกาสที่ราคาหุ้นจะลดลงถึง 70% จากราคาปิดก่อนหน้า
นอกจากนี้ รายได้ของ GameStop ก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลงจาก 6 พันล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2022 (สิ้นสุดในเดือนมกราคม) เป็น 5.3 พันล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2024 แม้ว่ากำไรที่รายงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากขาดทุน 1.31 ดอลลาร์เป็นกำไร 0.02 ดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่อัตรากำไรของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยรวมแล้วเราคิดว่าหุ้น GME อาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากการคาดการณ์เกี่ยวกับสถานะของ Keith Gill อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่านักลงทุนควรหลีกเลี่ยง GameStop เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่ยังไม่แข็งแกร่ง
อ้างอิง: