Furiosa: A Mad Max Saga ผลงานลำดับที่ 5 จากแฟรนไชส์ Mad Max ภายใต้การกำกับของ George Miller ที่ได้นักแสดงสาวสวยมากฝีมือ Anya Taylor-Joy และ Chris Hemsworth มาร่วมรับบทนำ คือหนึ่งในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ที่น่าจับตามองที่สุดของปีนี้
THE STANDARD POP ถือโอกาสชวนทุกคนมาร่วมย้อนชมจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ Mad Max ที่เดินทางมอบความบันเทิงแก่ผู้ชมมายาวนานหลายทศวรรษ เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนออกสตาร์ทสู่ดินแดนรกร้างอีกครั้งในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
George Miller
ภาพ: Warner Bros. Pictures
George Miller นักศึกษาแพทย์ผู้หลงใหลในโลกภาพยนตร์
หากจะกล่าวถึงที่มาที่ไปของแฟรนไชส์ Mad Max เราคงต้องมาทำความรู้จักกับผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ชุดนี้กันก่อน
George Miller นับว่าเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับมากฝีมือที่มีผลงานอันเป็นที่จดจำของผู้ชมหลายเรื่อง โดยนอกจากแฟรนไชส์ Mad Max เขายังมีผลงานการกำกับภาพยนตร์ดราม่าเรื่องเยี่ยมที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงอย่าง Lorenzo’s Oil (1992), รับหน้าที่เขียนบทและโปรดิวเซอร์ในภาพยนตร์อบอุ่นหัวใจเรื่อง Babe (1995) และรับหน้าที่กำกับในผลงานภาคต่อ Babe: Pig in the City (1998) รวมถึงภาพยนตร์แอนิเมชันคำวิจารณ์ดีอย่าง Happy Feet (2006) ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม
แต่หากย้อนกลับไปในช่วงแรกเริ่ม เขาไม่ได้มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นผู้กำกับมาตั้งแต่แรก
George Miller เติบโตขึ้นในเมืองชนบทชื่อชินชิลา ประเทศออสเตรเลีย เขามักจะใช้เวลาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยการเดินทางไปดูภาพยนตร์ในโรงเป็นประจำ รวมถึงยังเติบโตมากับการดูการ์ตูนและซีรีส์ขนาดสั้นทางโทรทัศน์ชื่อดังอีกหลายเรื่อง แต่เขากลับไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเป็นผู้กำกับ เพราะมันดูเป็นเส้นทางที่ยากเกินไปสำหรับเขา เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัย เขาจึงเลือกเรียนคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์พร้อมกับพี่ชายฝาแฝด
แต่แล้วจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ George Miller ก็มาถึง เมื่อเขาและพี่ชายตีตั๋วไปดูภาพยนตร์เรื่อง M*A*S*H (1969) ของผู้กำกับ Robert Altman และ The Battle of Algiers (1966) ของผู้กำกับ Gillo Pontecorvo โดยที่เขาไม่ได้รู้จักสองเรื่องนี้มาก่อน แต่นั่นก็จุดประกายให้เขาอยากเข้าใจศาสตร์ของภาพยนตร์ให้มากยิ่งขึ้น เขาจึงเริ่มศึกษาวิธีการเล่าเรื่องของภาพยนตร์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาพยนตร์เงียบของนักแสดงชื่อดังอย่าง Buster Keaton และ Harold Lloyd
ไม่นานหลังจากนั้น เขาและพี่ชายก็ร่วมมือกันทำภาพยนตร์สั้นส่งประกวดจนได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปการทำภาพยนตร์ และมีโอกาสโคจรมาพบกับ Byron Kennedy นักทำภาพยนตร์รุ่นเยาว์ที่จับมือกับ George Miller ในการทำภาพยนตร์สั้นเรื่อง Violence in the Cinema, Part 1 ซึ่งมีเนื้อหาเชิงเสียดสีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ จากนั้น George Miller และ Byron Kennedy จึงมีโอกาสทำภาพยนตร์สั้นร่วมกันอีกหลายครั้ง จนทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นที่อยากจะสร้างภาพยนตร์ขนาดยาวของตัวเองขึ้นมา
และนั่นคือจุดสตาร์ทของภาพยนตร์แอ็กชันสุดระห่ำอย่าง Mad Max
Mad Max (1979)
ภาพ: IMDb
สู่ท้องถนนอันบ้าคลั่ง
หลังจากเรียนจบ George Miller ก็เริ่มต้นทำงานเป็นหมออย่างเต็มตัว ควบคู่ไปกับการพัฒนาโปรเจกต์ Mad Max ร่วมกับ Byron Kennedy โดยเขาได้หยิบนำเหตุการณ์วิกฤตขาดแคลนน้ำมันที่เกิดขึ้นในปี 1973 และประสบการณ์ส่วนตัวมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์เรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ของเมืองในชนบทอันห่างไกลที่เขาเติบโตขึ้นมา ประสบการณ์รักษาผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือวัฒนธรรมการแข่งรถที่เรียกว่า Drag Racing
ไปจนถึงความหลงใหลในภาพยนตร์เงียบที่จุดประกายให้ George Miller อยากสร้าง ‘ภาพยนตร์เงียบที่มีเสียง’ หรือภาพยนตร์ที่เน้นการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียง มากกว่าการเล่าเรื่องด้วยบทสนทนาของตัวละครขึ้นมา
จนเกิดเป็นภาพยนตร์แอ็กชัน Post-Apocalypse ที่เล่าถึงโลกอนาคตอันใกล้ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนน้ำมันและพลังงานเนื่องจากภาวะสงคราม โดยบอกเล่าผ่านสายตาของ Max Rockatansky (Mel Gibson) เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปจากฝีมือของแก๊งมอเตอร์ไซค์ จึงเป็นเหตุให้เขาเริ่มออกล้างแค้น
เมื่อดูจากพล็อตเรื่องก็ดูเหมือนว่า Mad Max จะเป็นภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ แต่ George Miller กลับมีทุนสร้างประมาณ 350,000-400,000 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งทุนสร้างส่วนหนึ่งมาจากเงินเก็บของเขาที่ได้รับจากการทำงานในห้องฉุกเฉิน และด้วยทุนสร้างที่ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้เขาและทีมสร้างต้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้แบบกองโจรเพื่อลดต้นทุนการสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าตัวทีมงานบางส่วนด้วยการเลี้ยงเบียร์ การชักชวนแก๊งมอเตอร์ไซค์ในท้องถิ่นจริงๆ มาร่วมถ่ายทำ ไปจนถึงการต้องแอบปิดถนนสำหรับถ่ายทำโดยไม่ให้ถูกตำรวจจับ
แม้การถ่ายทำจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ในที่สุด Mad Max ก็ได้ออกฉายสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกในปี 1979 และได้การตอบรับที่ดีจากผู้ชมอย่างถล่มทลาย ด้วยการกวาดรายได้รวมทั่วโลกสูงกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นภาพยนตร์ทุนต่ำที่ทำรายได้สูงสุด ณ เวลานั้น และยังช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของออสเตรเลียกลายเป็นที่จับตามองของผู้ชมทั่วโลกมากยิ่งขึ้น
ภาพ: IMDb
ภาพยนตร์แอ็กชันสุดคลาสสิกที่ยังคงมอบความบันเทิงแก่ผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากความสำเร็จของ Mad Max แน่นอนว่า George Miller ก็เดินหน้าสานต่อเรื่องราวของ Max ออกตามมาอีก 2 ภาคด้วยกัน ได้แก่ Mad Max 2: The Road Warrior (1981) และ Mad Max Beyond Thunderdome (1985) ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ รวมถึงได้รับการต่อยอดมาเป็นสื่อบันเทิงแขนงอื่นๆ อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นนิยาย คอมิก และวิดีโอเกม
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่ากระแสตอบรับที่ดี แฟรนไชส์ Mad Max ยังได้รับการยกย่องให้เป็นภาพยนตร์แอ็กชันสุดคลาสสิกที่ส่งอิทธิพลต่อโลกป๊อปคัลเจอร์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการสร้างสรรค์โลกหลังภัยพิบัติ ทั้งออกแบบเสื้อผ้าหน้าผม วิถีชีวิต สถานที่ และทิวทัศน์ของดินแดนรกร้างที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและสื่อบันเทิงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มังงะเรื่อง Fist of the North Star ของสองนักเขียน โยชิยูกิ โอคามุระ และ เท็ตสึโอะ ฮาระ, วิดีโอเกมชื่อดังอย่าง Borderlands และ Fallout, การถูกกล่าวถึงในแอนิเมชันชื่อดังหลายเรื่องอย่าง Rick and Morty, South Park และ The Simpsons, นิยายเยาวชนแนวดิสโทเปียเรื่อง Mortal Engines ของนักเขียน Philip Reeve ไปจนถึงการส่งให้ตัวละครอย่าง Max กลายเป็นอีกหนึ่งบทบาทอันเป็นที่จดจำของ Mel Gibson มาจนถึงปัจจุบัน
และหลังห่างหายจากจอภาพยนตร์ไปนานร่วม 30 ปี ในที่สุด Max ก็กลับมาโลดแล่นบนดินแดนรกร้างอีกครั้งใน Mad Max: Fury Road ที่ออกฉายในปี 2015 พร้อมได้ Tom Hardy และ Charlize Theron มาร่วมรับบทนำ ซึ่งแรกเริ่มเดิมที George Miller ได้วางแผนการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปี 1998 แต่เนื่องจากปัญหาความล่าช้าในการผลิตและเหตุการณ์ 9/11 จึงทำให้โปรเจกต์นี้ต้องถูกหยุดพักเอาไว้
ซึ่งแม้ว่า Mad Max: Fury Road จะออกฉายห่างจากภาค Beyond Thunderdome นานร่วม 30 ปี แต่ภาพยนตร์ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างล้นหลาม โดยภาพยนตร์สามารถกวาดรายได้รวมทั่วโลกสูงกว่า 380 ล้านดอลลาร์ พร้อมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 10 สาขา รวมถึงสาขาใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม ก่อนจะคว้ารางวัลด้านเทคนิคมาได้ 6 สาขา
Furiosa: A Mad Max Saga
ภาพ: Warner Bros. Pictures
และในปีนี้ผู้ชมทั่วโลกก็กำลังจะได้ออกเดินทางสู่ดินแดนรกร้างอีกครั้งใน Furiosa: A Mad Max Saga ภาพยนตร์ภาค Prequel ที่จะพาเราไปติดตามเรื่องราวต้นกำเนิดของตัวละคร Furiosa จาก Mad Max: Fury Road ที่คราวนี้จะได้นักแสดงมากฝีมือแห่งยุคอย่าง Anya Taylor-Joy มารับบทนำ ร่วมกับ Chris Hemsworth ในบทบาทตัวร้ายคนใหม่อย่าง Warlord Dementus ซึ่งเราต้องมาติดตามกันต่อว่าเรื่องราวของ Furiosa จะมาขยับขยายเรื่องราวของแฟรนไชส์ Mad Max ให้กว้างใหญ่มากขึ้นอย่างไร
ซึ่งการที่ Furiosa: A Mad Max Saga ถูกยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ที่น่าจับตามองของปีนี้ ก็ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า Mad Max เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ภาพยนตร์สุดคลาสสิกที่ยังเป็นที่รักของผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน
รับชมตัวอย่าง Furiosa: A Mad Max Saga ได้ที่: www.youtube.com/watch?v=JllfaJ8j9xU&t
อ้างอิง:
- www.britannica.com/biography/George-Miller-Australian-director
- https://variety.com/2015/film/awards/george-miller-mad-max-interview-1201643921/
- www.nfsa.gov.au/latest/mad-max-director-george-miller
- www.cbr.com/mad-max-furiosa-creator-strange-career-explained/
- www.vanityfair.com/hollywood/2015/05/mad-max-history
- www.acmi.net.au/stories-and-ideas/mad-maxs-enduring-pop-culture-power/
- https://madmax.fandom.com/wiki/Mad_Max_Pop_Culture_References
- www.imdb.com/title/tt1392190/