ประเทศไทยเป็นประเทศที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านน้ำทั้งสองขั้ว คือ “น้ำมาก” และ “น้ำน้อย” ในรอบปีเดียวกัน โดยฤดูฝนปี 2568 ประเมินว่า จะมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย จากอิทธิพลของปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้ฝนตกต่อเนื่องและมีความเสี่ยงเกิดน้ำหลากฉับพลัน
ดังนั้น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คิด 9 มาตรการบริหารจัดการน้ำฤดูฝน โดยยึดแนวคิด 3 ระยะสำคัญ คือ ก่อนฤดูฝน – ระหว่างฤดูฝน – หลังฤดูฝน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการ “ป้องกันความเสียหาย” และ “เก็บกักน้ำเพื่ออนาคต”
ขณะที่ กรมชลประทาน ในฐานะหน่วยงานหลักภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 9 มาตรการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในระดับพื้นที่ ดังนี้
[ระยะ 1 : เตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน]
เน้นการป้องกันเชิงรุกผ่าน 5 มาตรการหลัก ได้แก่
- คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง (มาตรการ 1)
โดยใช้ “ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC)” รวบรวมข้อมูลสถานการณ์น้ำจากทั่วประเทศแบบ Real-time และวิเคราะห์ Big Data เพื่อประเมินและคาดการณ์ปริมาณฝน พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และภาวะฝนทิ้งช่วงได้อย่างแม่นยำล่วงหน้า พร้อมแจ้งเตือนหน่วยงานในพื้นที่และประชาชน
- ทบทวน ปรับปรุง เกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการ (มาตรการ 2)
หัวใจสำคัญ คือ เกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curve) เป็นการจัดการแบบ “คาดการณ์และป้องกัน” เพื่อควบคุมการเก็บ-ระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เหมาะสมกับสภาพฝนจริง ขณะเดียวกันยังต้องคำนวณอย่างรัดกุมเพื่อให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเพียงพอสำหรับฤดูแล้งถัดไป
- เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ และบุคลากร (มาตรการ 3) ตรวจสอบและซ่อมบำรุงเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถขุด รถแบคโฮ และเรือผลักดันน้ำ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน 100% และนำไปจัดวางประจำในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยซ้ำซากทั่วประเทศ รงมถึงมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง เพื่อให้สามารถเข้าปฏิบัติการช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์
- ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ (มาตรการ 4) เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างทุกแห่งสามารถรองรับน้ำได้ตามเกณฑ์ความปลอดภัย
- เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ (มาตรการ 5) อย่างการกำจัดวัชพืช สิ่งกีดขวางทางน้ำ และขุดลอกคูคลอง เพื่อให้น้ำระบายได้รวดเร็ว ลดจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก
[ระยะ 2 : การเผชิญเหตุและบรรเทาผลกระทบ]
- ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย และฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ (มาตรการ 6) โดยร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า และพร้อมฟื้นฟูพื้นที่ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์
[ระยะที่ 3 : การฟื้นฟูและสร้างความมั่นคง เก็บเกี่ยวมวลน้ำฝนปลายฤดู เพื่อเป็นน้ำต้นทุนใช้ต่อในฤดูแล้ง]
- เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน (มาตรการ 7)
เก็บเกี่ยวทรัพยากรน้ำเพื่อเป็นน้ำต้นทุนสำหรับภาคอุปโภคบริโภคและภาคเกษตรกรรม รองรับฤดูแล้งปีต่อไป สร้างความมั่นคงด้านน้ำให้ประเทศตลอดทั้งปี
- สร้างการรับรู้ความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายในการติดตามเฝ้าระวัง (มาตรการ 8)
สร้างการรับรู้และเครือข่ายเฝ้าระวัง โดยดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมผ่านสายด่วนและแอปพลิเคชัน
- ติดตามประเมินผลปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย (มาตรการ 9) เพื่อปรับมาตรการอย่างต่อเนื่อง สู่การเป็น องค์กรอัจฉริยะด้านน้ำ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการทั้ง 9 ข้อ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่อง “ป้องกันน้ำท่วม” แต่ยังมีผลต่อความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังโครงการต่าง ๆ ที่เคยสัมฤทธิ์ผลก่อนหน้านี้ อาทิ “บางระกำโมเดล” พลิกพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในพิษณุโลก–สุโขทัยให้กลายเป็นแก้มลิงธรรมชาติ เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำมา และยังได้รายได้เสริมจากการทำประมง
“โครงการบรรเทาอุทกภัยเชิงรุกในลุ่มน้ำสำคัญ” ทั้งเจ้าพระยา ชี มูล และภาคใต้ ที่ช่วยลดผลกระทบซ้ำซาก ยกระดับคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่
ทั้งนี้ มาตรการ 9 ข้อ รับมือฤดูฝนปี 68 ที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กำหนด คือ “เกราะป้องกัน” และ “เครื่องมือสร้างสมดุล” ในการจัดการน้ำของประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมพร้อมก่อนฝนตก การรับมือระหว่างฝนหลาก ไปจนถึงการฟื้นฟูและเก็บกักน้ำหลังฝนสิ้นสุด
เป้าหมายสูงสุด คือ การทำให้ประเทศไทย “อยู่กับน้ำได้อย่างยั่งยืน” ลดผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม พร้อมเสริมความมั่นคงทางน้ำในระยะยาว