แม้ดัชนี S&P 500 จะปรับตัวขึ้นแล้ว 14% ภายในปีนี้ แต่นักลงทุนรายย่อยต่างเมินความเสี่ยงต่อระดับราคาหุ้น และเข้าซื้อหุ้นรายตัวเป็นเงินรวมกันกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ นับเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล ตามข้อมูลจาก JPMorgan และหากรวมกับเงินทุนที่ไหลเข้าไปยังกองทุน ETF ด้วย จะมีมูลค่ารวมกว่า 4.4 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg ระบุว่า การไหลเข้าของเงินทุนในหุ้นรายตัวส่วนใหญ่กระจุกอยู่ใน 3 หุ้นเท่านั้น ได้แก่ Tesla Apple และ NVIDIA ซึ่งตลาดเดิมพันว่า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเหล่านี้จะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป และเพียงหุ้นสามตัวที่กล่าวถึงคิดเป็น 43% ของกำไรในดัชนี S&P 500 ในปีนี้
นักลงทุนรายย่อยซึ่งมักรอโอกาสซื้อจากตลาดหุ้นขาลง อย่างเช่นในช่วงหลังวิกฤตโควิด ขณะที่ปัจจุบันนักลงทุนเหล่านี้มองหาโอกาสจากขบวนรถไฟในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งนำโดยกลุ่มเทคโนโลยี
กระแสการพุ่งทะยานของตลาดหุ้นดึงดูดให้นักลงทุนรายย่อยกระโดดเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด ลูกค้าของ Bank of America ใส่เงินไปกับหุ้นสหรัฐฯ กว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับเป็นยอดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ขณะที่ Goldman Sachs มียอดเฉลี่ยรวมของลูกค้าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี
สัญญาณความกระหายในหมู่นักลงทุนเห็นได้จากดัชนี Nasdaq 100 ที่เพิ่มขึ้น 36% นับตั้งแต่เริ่มปี นับเป็นจุดซื้อ-ขาย 24% เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ครั้งสุดท้ายที่พบจุดซื้อ-ขายในระดับสูงขนาดนี้ ต้องย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม ปี 2020 ซึ่งหลังจากเวลานั้นตลาดหุ้นปรับตัวลง 13% ในเดือนถัดไป
อ้างอิง:
