เจนเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเห็นระหว่างเข้าร่วมรายการ Closing Bell ของสถานีโทรทัศน์ CNBC สหรัฐฯ ยืนยันจุดยืนชัดเจนถึงความจำเป็นของการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศชุดใหม่ เพื่อช่วยประคับประคองให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ และกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง ก่อนระบุว่า มาตรการฟื้นฟูโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของ โจ ไบเดน จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถพลิกฟื้นกลับมา และช่วยการจ้างงานได้อย่างเต็มที่อีกครั้งภายในปี 2021
“เราคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่จะมีแพ็กเกจชุดใหญ่ในการจัดการกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ซึ่งการระบาดทำให้ชาวอเมริกัน 15 ล้านคน ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ผู้ใหญ่ 24 ล้านคน และเด็กอีก 12 ล้านคน ไม่มีอาหารเพียงพอประทังความหิว และธุรกิจขนาดเล็กต้องพังลง” รัฐมนตรีคลังหญิงสหรัฐฯ กล่าว
ความเห็นครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจว่าใช้งบประมาณมากเกินไปหรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้เยลเลนระบุชัดว่า ราคาที่ต้องจ่ายเพราะทำน้อยเกินไปมีมูลค่าสูงกว่างบประมาณที่ใช้ฟื้นเศรษฐกิจประเทศแบบจัดเต็มชุดใหญ่ในระยะยาว ก่อนใช้โอกาสนี้ยืนกรานว่า ปัญหาเงินเฟ้อจากการที่รัฐบาลใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกกังวลแต่อย่างใด
“ภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมามากกว่า 10 ปีแล้ว และคุณก็รู้ว่าเงินเฟ้อเป็นความเสี่ยง แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ธนาคารกลางและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และความเสี่ยงตัวจริงก็คือความกลัวของผู้คนว่าการระบาดจะส่งผลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนอย่างถาวร” เยลเลนกล่าว
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว เห็นได้จากรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจในหลายวงการ เช่น ยอดขายสินค้าปลีกออนไลน์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 หรือการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม อัตราการจ้างงานสหรัฐฯ กลับยังคงฟื้นตัวได้ช้า ทำให้มีคนตกงานจำนวนมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว ที่จำเป็นต้องพึ่งพากำลังการบริโภคภายในประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้รายงานตัวขอรับผลประโยชน์การว่างงานเพิ่มขึ้นอีก 861,000 คนแล้ว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นประเด็นที่เยลเลนมองว่า รัฐบาลต้องมีนโยบายจัดการในส่วนของการจ้างงานให้ชัดเจน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: