สวัสดีครับท่านนักลงทุน
SET ปรับขึ้นต่อเนื่อง จากจุดต่ำบริเวณ 1,554 จุด ขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือ 1,600 จุด แรงหนุนหลักมาจาก Fund Flow ที่กลับมาไหลเข้าในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแรงราว 2.27 หมื่นล้านบาท หลังค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง (บาทแข็งค่า) และเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดยังคาดหวังว่าจีนอาจกลับมาเปิดประเทศ จึงส่งผลให้หุ้น Big Cap ปรับตัวขึ้นเด่น นำโดย กลุ่มพลังงาน (PTTEP, PTT, BANPU, TOP) ธนาคาร (KBANK, BBL, KTB) และ ปิโตรเคมี (IVL, PTTGC) เป็นต้น
อีกทั้งยังมีแรงซื้อเก็งกำไรจากเข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 3Q65 และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ อาทิ EA (กรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาออกมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนให้ราคาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าถูกลง) JKN (ประกาศเข้าซื้อกิจการ MUO)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทำความรู้จัก 7 หุ้น IPO น้องใหม่ เตรียมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ
- อัปเดต 7 หุ้น พอร์ต เซียนฮง สถาพร งามเรืองพงศ์ มูลค่า 6.14 พันล้านบาท
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
ด้านผลประชุม Fed ล่าสุดเมื่อวันที่ 1-2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Fed ยังส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยต่อ เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง
โดยบทสรุปจากการประชุม Fed ผมนำบทวิเคราะห์ของ InnovestX สรุปให้ฟัง ดังนี้ครับ
- คณะกรรมการมีมติเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ตามคาด โดยเป็นการปรับขึ้นที่ 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 โดยอัตราดอกเบี้ย Fed ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.75-4.00%
- Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อคุมเงินเฟ้อ และมองว่าดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal Rate) จะสูงกว่าที่ตลาดเคยคิดไว้ที่ 4.88%
- มีการส่งสัญญาณว่าโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งต่อไปอาจชะลอลงกว่าครั้งนี้ได้ (น้อยกว่า 0.75%)
- ในช่วงตอบคำถาม เจอโรม พาวเวลล์ ได้ยอมรับถึงประเด็นที่ว่านโยบายการเงินมีการส่งผลต่อเศรษฐกิจล่าช้า (Monetary Lag) บ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงที่จะขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไปจนกระทบเศรษฐกิจ รวมถึงโอกาสที่จะเกิด Hard Landing มีมากขึ้น แต่ยังส่งสัญญาณว่ากังวลความเสี่ยงการขึ้นดอกเบี้ยน้อยเกินไปแล้วทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นมากกว่า
- ในแถลงการณ์ ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวมากขึ้น แต่ยังคงเน้นย้ำตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่ Fed เคยคาดการณ์ไว้
ด้านแนวโน้ม SET ในปัจจุบัน ผมอยากเตือนถึงโอกาสในการพักตัว หลังดัชนีปรับขึ้นต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอาจมีแรงขายทำกำไร หลังเสร็จสิ้นการรายงานผลการดำเนินงานใน 3Q65 ของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าแนวรับบริเวณ 1,590-1,600 จุด จะเริ่มมี Downside จำกัด และในภาพรวมดัชนียังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยมีปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในประเทศมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ซึ่งจะดึงดูดให้ทิศทาง Fund Flow ไหลเข้าได้ต่อ ทำให้การอ่อนตัว เป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม
โดยแนะนำหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ซึ่งคาดจะสามารถต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ ดังนี้
- หุ้น Earning Play ซึ่งคาด 3Q65 กำไรมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง YoY เลือก GFPT, SPALI, MTC, CPALL, LH และ BCP
- หุ้นที่ราคาปรับลงแรง และ Valuation ไม่แพง (PBV ต่ำกว่า -1SD) สวนทางพื้นฐานที่ยังมีศักยภาพเติบโตได้ เลือก MTC, GPSC, BGRIM และ SCGP
- หุ้นเก็งกำไรที่คาดได้อานิสงส์จากกระแสถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก (20 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคม 2565) ซึ่งคาดกระตุ้นบรรยากาศการบริโภคในช่วงเชียร์บอล เลือก CPALL, CENTEL และ MINT
ส่วนช่วงสั้นแนะนำเพิ่มความระมัดระวัง หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน ในหุ้นที่มีปัจจัยเสี่ยงกดดันผลประกอบการ ดังนี้
- หุ้นเดินเรือ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากอุปทานเรือใหม่ที่เข้ามาและอุปสงค์การขนส่งสินค้าเริ่มชะลอตัวลง
- หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดได้รับผลกระทบจากสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นและผลประกอบการหุ้นเทคโนโลยีของโลกออกมาต่ำกว่าคาด
- หุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี หลังคาดงบ 3Q65 อาจได้รับผลกระทบค่าการกลั่น/ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง และขาดทุนสต๊อก