ความจริงแล้วสิ่งที่เชลซีกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้คือ สถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้เลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซีย กำลังจะถูกทำให้กลายเป็นอดีตด้วยความจำนน จากการถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลเครมลินในการส่งกองทัพรัสเซียรุกรานยูเครน
จากสงครามที่เริ่มขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ได้ทำให้อบราโมวิชพยายามเคลื่อนไหว เริ่มจากการยกอำนาจเต็มในการบริหารสโมสรให้แก่มูลนิธิเชลซี (Chelsea Foundation) ซึ่งที่สุดแล้วไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากขัดต่อวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง ก่อนที่จะพยายามประกาศขายสโมสรให้เร็วที่สุดในระหว่างที่รัฐบาลอังกฤษยังให้เวลาในช่วงต้นเดือนมีนาคม
ก่อนที่สุดท้ายรัฐบาลอังกฤษจะตัดสินใจอายัดทรัพย์สินของมหาเศรษฐีชาวรัสเซียวัย 55 ปี ทั้งหมด เพื่อเป็นการโต้ตอบต่อรัฐบาลเครมลินด้วยการตัดเหล่า Oligarch หรือมหาเศรษฐีที่เป็นวงศ์วานว่านเครือของ วลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งหนึ่งในทรัพย์สินที่อบราโมวิชสูญเสียคือเชลซี ที่ถูกบังคับขายโดยที่จะไม่ได้รับเงินกลับมาแม้แต่เหรียญเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ดำเนินไปในระหว่างที่นักฟุตบอล ผู้จัดการทีม และสตาฟฟ์ทุกคนในสโมสรเชลซี ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในอนาคต สถานการณ์เคยลำบากถึงขั้นมีรายงานข่าวว่าบัตรเครดิตของสโมสรก็ไม่สามารถใช้เพื่อเติมน้ำมันแก่รถบัสได้ และมีการจำกัดวงเงินที่จะใช้จ่ายสำหรับการจัดการแข่งขันในบ้านและการไปเล่นเป็นทีมเยือน
ท่ามกลางความสับสนและเริ่มมีกระแสข่าวว่านักเตะ The Blues กำลังคิดที่จะทิ้งสโมสรกันหลังจบฤดูกาลนี้ เชลซีกลายเป็นทีมที่ดูเหมือนกำลังจะแพแตกจากปัจจัยที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้จนผลงานในสนามเริ่มแกว่ง ผลงานในลีกพวกเขาหมดลุ้นแชมป์ไปนานแล้ว และดูเหมือนจะต้องลุ้นเพื่อรักษาพื้นที่ท็อป 4 เอาไว้ด้วยซ้ำ
ขณะที่ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเองก็ไม่อาจรักษาไว้ได้เช่นกัน เมื่อเสียทีต่อเรอัล มาดริด ที่ได้ คาริม เบนเซมา พาอดีตแชมป์ 13 สมัย ทะลุผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปเจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากประตูสำคัญในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
แต่จากจุดนั้นเองที่ดูเหมือนเชลซีจะกลับมาเป็นทีมเดิม ก่อนที่พวกเขาจะพบกับการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา
การเคลียร์ใจก่อนจะไม่เหลืออะไร
จากวันที่พ่ายแพ้ต่อเรอัล มาดริด คาสแตมฟอร์ดบริดจ์ 1-3 ในเกมที่ คาริม เบนเซมา ทำแฮตทริกได้ โดยที่หนึ่งในนั้นมาจากความผิดพลาดแบบยากจะลืมของ เอดูอาร์ เมนดี ผู้นำของทีมอย่าง โธมัส ทูเคิล ได้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเขาเป็น Leader ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของสโมสรในช่วงระยะเวลา 19 ปีของ โรมัน อบราโมวิช
ทูเคิล ผู้ซึ่งเป็นคนแรกๆ ที่ออกมาประกาศชัดเจนว่าจะไม่มีวันทิ้งสโมสรไปไหน และต่อให้ทีมไม่มีเงินที่จะเติมน้ำมันรถพาทีมไปแข่งขันกับลีลล์ที่ฝรั่งเศส (ในช่วงแรกที่มีการอายัดทรัพย์) ก็จะเป็นคนขับรถพาทีมไปแข่งขันด้วยตัวเอง ได้พยายามที่จะปลุกเร้าทีมกลับมาอีกครั้ง
ทั้งนี้ เพราะสถานการณ์เวลานั้นของทีมกำลังดูเริ่มระส่ำระสายหลังจากที่แพ้เบรนท์ฟอร์ดแบบสุดช็อกคาเดอะบริดจ์ ก่อนที่จะแพ้เรอัล มาดริด ซ้ำอีกครั้ง จนทำให้ความหวังในรายการ #UCL แทบหมดไป โดยที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับเจ้าของสโมสรใหม่ เนื่องจากกระบวนการยื่นข้อเสนอขอซื้อทีมนั้นมีความซับซ้อนและใช้เวลามากกว่าที่คาดคิด
สิ่งที่นายใหญ่ชาวเยอรมันตัดสินใจทำคือ การเรียกประชุมทีมทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเรียกประชุมครั้งนั้นก็ไม่ใช่การ ‘ประชุม’ ที่เป็นการหารือร่วมกันของทั้งทีม หากแต่เป็นการ ‘พูดถึงมุมมองส่วนตัวของเขาต่อผลงานของผู้เล่นในทีม’ จากการแพ้ต่อเบรนท์ฟอร์ดและเรอัล มาดริด
นักเตะในทีมได้รับรู้ถึงความไม่พอใจและความผิดหวังที่นายใหญ่อย่างทูเคิลมีต่อพวกเขา ซึ่งเล่นกันเหมือนไม่ได้พกหัวใจมาด้วย ผลงานนั้นต่ำกว่ามาตรฐานและมีความผิดพลาดแบบที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นเต็มไปหมด
แน่นอนว่าทูเคิลรู้ดีว่ามันมีความไม่มั่นคงทางจิตใจเกิดขึ้นภายในทีม และเขาเชื่อว่าสิ่งที่จำเป็นคือการ ‘เคลียร์’ ทุกความรู้สึกกันให้ชัดเจน ให้ทุกอย่างจบลงภายในห้องนั้นแล้วทุกคนกลับมาต่อสู้กันใหม่
“ไม่ว่าจะเพราะอะไร หลังจบช่วงเบรกทีมชาติเรามักจะรู้สึกว่าเราจะเล่นกันแค่ 80-90 เปอร์เซ็นต์ แล้วคิดว่าเราจะผ่านมันไปได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น มันมีเหตุผลมากมาย มันอาจจะมาจากความอ่อนล้า แต่เราก็ต้องเอาชนะมันให้ได้” ทูเคิลกล่าวในเวลานั้น
ตอนนี้มันไม่มีทางอื่นเราต้องปลุกตัวเองขึ้นมาหรือเตือนตัวเองอีกครั้ง เพราะเราไม่ทุ่มเทมากพอในช่วง 2 นัดหลังสุด เราจำเป็นต้องค้นหาฟอร์มการเล่นที่ดุดันอีกครั้ง เพราะนี่คือสิ่งที่เราทำมาตลอด แต่มันหายไปใน 2 เกมที่ผ่านมา”
เมื่อสารจากเจ้านายชัดเจน นักเตะสิงห์บลูที่กำลังงัวเงียเริ่มรู้สึกตัว พวกเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
สิงโตที่ถูกปลุกให้ตื่น
ในเกมต่อมาเชลซีเดินทางลงใต้เพื่อไปเยือนเซาแธมป์ตันในเกมพรีเมียร์ลีก ซึ่งกลายเป็นเกมที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคน
ความประหลาดใจนั้นเกิดจากความดุดันของนักเตะเชลซีที่หายไปสักระยะได้กลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ และพวกเขาก็ระบายความรู้สึกผิดหวัง ความอัดอั้นตันใจต่างๆ นานา ทุกอย่างถูกเอาลงกับทีมของ ราล์ฟ ฮัสเซิลฮุทเทิล ทีมที่ไม่แพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งเหย้าและเยือนในฤดูกาลนี้ ด้วยสกอร์ที่ขาดลอยถึง 6-0
แม้กระทั่งคนที่เหมือนจะไม่น่าเหลืออนาคตแล้วอย่าง ติโม แวร์เนอร์ ศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมนี ก็ยังกลับมาเล่นในฟอร์มที่เป็นเหตุผลที่เชลซีตัดสินใจทุ่มเงินเพื่อปาดหน้าลิเวอร์พูลคว้าตัวเขามาร่วมทีม
เมื่อระบายความผิดหวังไปแล้ว พวกเขาเดินทางต่อในการไปเยือนเรอัล มาดริด ที่ซานติอาโก เบร์นเบว เพื่อทำในสิ่งที่ทูเคิลบอกว่า “ต้องเป็นบทที่ถูกเขียนมาแบบไม่ธรรมดา”
ความจริงเชลซีทำในสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นได้จริงๆ แล้วด้วยการที่สามารถบุกไปยิงถล่มโลส เมเรนเกส ถึง 3-0 เพียงแต่ความจริงที่โหดร้ายกว่าคือ การที่เรอัล มาดริด เป็นทีมที่ตายยาก พวกเขารอดตัวจากประตูของโรดรีโกที่ทำให้สกอร์ 2 นัดเท่ากัน 4-4 และต้องเล่นกันในช่วงของการต่อเวลา
ก่อนที่เบนเซมาจะกลายเป็นตัวแสบที่ดับความหวังในการจะกลับไปป้องกันแชมป์ยุโรปอีกสมัยของเชลซี (แชมป์ที่อบราโมวิชภาคภูมิใจมากที่สุด)
เชลซีตกรอบ แต่พวกเขาไม่มีอะไรต้องเสียใจ อย่างน้อยก็เชิดหน้ากลับมาได้อย่างสง่าผ่าเผย แต่ลึกๆ ในใจพวกเขารู้ดีว่าตอนนี้พวกเขาเหลือความหวังเพียงแค่รายการเดียวคือเอฟเอคัพ
พวกเขาต้องเข้าชิงให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม
ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่
คริสตัล พาเลซ อาจเป็นทีมที่อยู่ในอันดับที่ 13 ของพรีเมียร์ลีก พวกเขาชนะแค่ 8 นัดในฤดูกาลนี้ แต่ผลงานการทำทีมของ ปาทริก วิเอรา อดีตตำนานกัปตันทีมอาร์เซนอลยุค ‘The Invincibles’ นั้นดูเหมือนจะดีกว่านั้นมาก
หนึ่งในส่วนสำคัญคือ การที่พวกเขาได้ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ เด็กหนุ่มจากเชลซีที่มาช่วยกันจุดประกายกับ ไมเคิล โอลิเซ อีกหนึ่งดาวดวงใหม่ที่ทำให้พาเลซเล่นได้อย่างน่าสนใจในฤดูกาลนี้
แต่ถึงกัลลาเกอร์จะไม่สามารถลงเล่นได้ตามกฎของการยืมตัวนักฟุตบอล และทูเคิลเองก็ยืนยันว่าเขาจะดึงตัวเด็กคนนี้กลับมายังต้นสังกัดเดิมอีกครั้งในฤดูกาลหน้า รวมถึงโอลิเซเองก็ไม่สามารถลงเล่นในเกมนี้ได้ด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเชลซีจะสามารถประมาทคู่แข่งได้
ในขณะที่ลิเวอร์พูลใช้เวลา 45 นาทีในการทะลวงตาข่ายของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ถึง 3 ลูกในเกมเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เชลซีใช้เวลา 45 นาทีแรกในเกมกับพาเลซด้วยการเล่นกันแบบกิเลนประลองเชิง
นายใหญ่ชาวเยอรมันยืนยันว่า การเจอกับทีมที่เล่นฟุตบอลโต้กลับได้อันตรายมากที่สุดทีมหนึ่งของอังกฤษอย่างพาเลซก็ต้องเล่นแบบนี้ก่อน แม้ว่ามันอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของแท็กติกการเล่น สปีดเกม และความดุดันจากสายตาของคนนอกก็ตาม
อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้วสองนักเตะจากอะคาเดมีของสโมสรอย่าง รูเบน ลอฟตัส-ชีค และ เมสัน เมาท์ ก็กลายเป็นฮีโร่ที่ช่วยพาทีมได้กลับเข้าเวมบลีย์เพื่อชิงแชมป์เอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน รักษาความหวังเอาไว้ได้สำเร็จ
พร้อมกับโอกาสในการแก้ตัวกับลิเวอร์พูล
นัดชิงเอฟเอคัพ ฉากสุดท้ายของ Roman Empire
ความจริงนอกเหนือจากเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเจ้าของสโมสร ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดในเวลานี้ จากเดิมที่มีกลุ่มทุนยื่นข้อเสนอมาทั้งหมด 4 กลุ่ม แต่ล่าสุดกลุ่มที่นำมาโดยตระกูลริกเก็ตส์ เจ้าของทีมเบสบอลชิคาโก คับส์ ได้ตัดสินใจถอนข้อเสนอไป ทำให้เหลือแค่ 3 กลุ่มนั้น ภายในทีมเชลซีเองก็มีแนวโน้มจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
กองหลัง 3 รายด้วยกันกำลังจะหมดสัญญากับทีม ไม่ว่าจะเป็น อันเดรียส คริสเตนเซน ซึ่งแนวโน้มจะไปบาร์เซโลนาชัดเจน, อันโตนิโอ รูดิเกอร์ กองหลังเสาหลักในยุคของทูเคิล มีหลายสโมสรที่สนใจจะดึงตัวไป และ เซซาร์ อัซปิลิกวยตา กัปตันทีม ถึงจะมีการใช้ออปชันขยายสัญญาอีก 1 ปี แต่บาร์เซโลนาก็สนใจจะคว้าตัวไปอีกราย
มาร์กอส อลอนโซ, จอร์จินโญ และ เอ็นโกโล ก็องเต จะหมดสัญญาในอีกฤดูกาลถัดไป และอายุอานามก็จะเข้าหลักสาม ขณะที่ โรเมลู ลูกากู ก็ขยันจุดประเด็นข่าวการย้ายทีมเป็นระยะ และยังมีนักเตะอีกหลายคนที่จับตาดูสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภายในทีม ไม่ว่าเจ้าของใหม่จะเป็นใครหรือเจ้าของใหม่จะต้องการพวกเขาหรือไม่
ดังนั้นเกมนัดชิงเอฟเอคัพในวันที่ 14 พฤษภาคม จึงอาจเป็นเกมสำคัญนัดสุดท้ายสำหรับใครหลายคน และที่สำคัญที่สุดคือ มันจะเป็นการปิดฉากยุคสมัยอันรุ่งเรืองภายใต้เจ้าของผู้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี 2003 อย่าง โรมัน อบราโมวิช
ที่น่าสนใจคือ เกมนัดนี้พวกเขาจะได้เจอกับคู่ปรับที่เพิ่งฉะกันมาในเกมนัดชิงลีกคัพเมื่อ 2 เดือนก่อนอย่างลิเวอร์พูล ซึ่งฝ่ายหลังเอาชนะได้ในช่วงของการดวลจุดโทษที่ยืดเยื้อยาวนานจนถึงคนสุดท้ายของท้ายที่สุดจริงๆ อย่าง เกปา อาร์ริซาบาลากา นายทวารตัวสำรองค่าตัวแพงที่สุดในโลก ที่ถูกส่งลงมาในช่วงก่อนหมดเวลาการแข่งขัน เพื่อหวังจะช่วยเซฟจุดโทษ แต่กลับเจอฝันร้ายเมื่อต้องรับหน้าที่สังหารและทำผิดพลาด
สำหรับเชลซีนี่คือโอกาสดีที่พวกเขาจะได้ล้างตาอีกครั้ง และจะเป็นโอกาสในการลบฝันร้ายหลังจากที่พ่ายแพ้ในนัดชิงมา 2 ปีติดต่อกันต่ออาร์เซนอลในยุคของ แฟรงก์ แลมพาร์ด และปีกลายต่อเลสเตอร์ ซิตี้ ในยุคของทูเคิลเอง
การพบกันครั้งนี้ยังเป็นการหวนกลับมาเจอกันในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีของทั้งสองทีม ซึ่งในครั้งนั้นลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ เคนนี ดัลกลิช เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และปิดฉาก ‘คิง เคนนี’ ราชาแห่งแอนฟิลด์ที่เข้ามากอบกู้ทีมจากวิกฤตในยุคของ รอย ฮอดจ์สัน ไปด้วย
ทูเคิลยอมรับว่าลิเวอร์พูลเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง “ด้วยคุณภาพและฟอร์มของพวกเขา การจะเอาชนะพวกเขาให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเชลซีจะไม่สู้
ในทางตรงกันข้าม พวกเขาพร้อมจะใส่จนสุดความสามารถแน่นอน ไม่ว่าจะเพราะเพื่อเป็นการรูดม่านปิดฉากยุคสมัยเก่า เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ยุคสมัยใหม่ ซึ่งถึงเวลานั้นคาดว่าจะมีเจ้าของสโมสรใหม่แล้ว หรือเพื่อเป็นการสั่งลาสำหรับนักเตะหลายคน
เพราะไม่มีใครรู้ว่าอนาคตข้างหน้าของเชลซีจะเป็นอย่างไร แม้จะสัมผัสได้ว่าจะไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2022/apr/17/tuchel-says-chelsea-will-be-ready-for-outstanding-liverpool-in-fa-cup-final
- https://www.theguardian.com/football/blog/2022/apr/16/if-cup-defeat-to-palace-ends-abramovich-era-what-will-he-leave-behind-at-chelsea
- https://www.bbc.com/sport/football/61136522
- https://www.bbc.com/sport/football/teams/chelsea
- https://www.theguardian.com/football/2022/apr/08/thomas-tuchel-angry-chelsea-players-real-madrid