Resiliencia 🤫 คือข้อความที่ ดาร์วิน นูนเญซ โพสต์บนโซเชียลมีเดียหลังจากที่มีกระแสโจมตีฟอร์มการเล่นในการลงสนาม 2 นัดแรกของเกมพรีซีซันที่ดูน่าผิดหวัง และไม่สมราคาของศูนย์หน้าลิเวอร์พูล ที่ย้ายมาจากเบนฟิกาด้วยค่าตัวมหาศาล เป็นสถิติของสโมสรกว่า 85 ล้านปอนด์ หรือ 100 ล้านยูโร
การตอบโต้ผ่านโซเชียลมีเดียแบบนี้ยังหนีไม่พ้นการวิจารณ์จากทั้งแฟนบอลของลิเวอร์พูลเอง และแฟนทีมอื่นที่สุดท้ายนำไปสู่การเปิดประเด็นเรื่องผลงานในสนามของดาวยิงชาวอุรุกวัยอยู่ดี คลิปวิดีโอทั้งช่วงของการซ้อมระหว่างการมาทัวร์เอเชียทั้งที่ไทยและสิงคโปร์ ไปจนถึงภาพไฮไลต์จากเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคริสตัล พาเลซ ถูกนำมารีรันซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะจังหวะซ้ำในกรอบเขตโทษของศึก ‘THE MATCH’ ที่ซัดข้ามคานแบบน่าตำหนิ
ทั้งๆ ที่นูนเญซเพิ่งจะย้ายมาร่วมถิ่นแอนฟิลด์ยังไม่ครบเดือนดี และมีโอกาสในการลงสนามในเกมระดับพรีซีซันแค่นัดละ 30 นาทีเท่านั้น
อย่างไรก็ดีในเกมอุ่นเครื่องนัดล่าสุดที่ลิเวอร์พูลบุกไปเยือนแอร์เบ ไลป์ซิก สโมสรฟุตบอลในบุนเดสลีกา เยอรมนี ดาวยิงวัย 23 ปีได้ตอบคำถามถึงคนที่สงสัยในฝีเท้าด้วยวิธีที่ดีกว่าการโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย
คำตอบของเขาคือการยิง 4 ประตูในระยะเวลาเพียงแค่ 45 นาทีที่ได้โอกาสลงสนามในช่วงครึ่งเวลาหลัง
ในเกมที่เรดบูลอารีนา ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายออกนำเจ้าบ้านไปก่อน 1-0 จากประตูของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ตั้งแต่นาทีที่ 8 ของการแข่งขัน ก่อนที่หลังจากนั้นจะไม่มีประตูเกิดขึ้นอีกในรูปเกมที่รองแชมป์ยุโรปไม่ได้เป็นฝ่ายครอบครองเกมชัดเจนอะไร
ก่อนที่นูนเญซจะถูกส่งลงมาในช่วงครึ่งเวลาหลังในกลุ่ม 4 นักเตะชุดแรกที่ได้โอกาสเปลี่ยนตัวลงมาก่อนในการทดลองทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งแน่นอนว่าจากผลงาน 2 นัดแรก ทำให้กองหน้าที่ย้ายมาเพื่อทดแทน ซาดิโอ มาเน ศูนย์หน้าผู้เป็นทุกอย่างในแนวรุกของลิเวอร์พูลต้องถูกจับตาเป็นธรรมดา
แต่แค่ไม่กี่อึดใจลิเวอร์พูลก็ได้ลูกจุดโทษ และปรากฏว่าซาลาห์ ซึ่งปกติเป็นมือสังหารหมายเลขหนึ่งได้มอบโอกาสให้นูนเญซทำหน้าที่แทน เพื่อหวังเป็นการเรียกความมั่นใจให้แก่เพื่อนใหม่ที่พอสังเกตได้ว่าแบกความกดดันอยู่พอสมควรจากความคาดหวังที่สูงลิบ
การยิงจุดโทษลูกนี้อาจเป็นได้ทั้งคุณและเป็นได้ทั้งโทษ เพราะถ้ายิงเข้าก็ดีไป แต่ถ้ายิงไม่เข้าขึ้นมาโอกาสที่นูนเญซอาจจะสูญเสียความมั่นใจหนักก็มีเพิ่มขึ้นไปอีก
ดีที่กองหน้าจอมถล่มประตูผู้นี้ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้ด้วยการยิงเสียบมุมที่หนักแน่น คลายความกดดันลงไปได้มาก
หลังจากนั้นแค่ 3 นาทีนูนเญซใส่สกอร์ที่ 2 ของตัวเองต่อทันทีในจังหวะที่ลิเวอร์พูลเพรสซิงสูงชิงบอลได้ในแดนของไลป์ซิก – ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดในเกมนี้ว่าเกมเพรสซิงที่ดุดันทำให้แนวรับของไลป์ซิกประสบปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ – ก่อนที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะแทงบอลต่อให้กองหน้า ‘หมายเลข 9’ แต่งบอลแล้วซัดเสียบเสาไกลอย่างสวยงาม
ก่อนที่นูนเญซจะมาทำแฮตทริกได้เมื่อ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ เปิดเข้ามาที่จุดนัดพบกลางประตู หัวหอกอุรุกวัยโฉบเข้ามาใช้ขาแหย่บอลเข้าประตูไป และปิดท้ายในช่วงก่อนหมดเวลาในจังหวะสวนกลับเร็วของลิเวอร์พูล ฟาบิโอ คาร์วัลโญ อีกหนึ่งนักเตะใหม่ที่ย้ายมาในช่วงปิดฤดูกาลนี้ พาบอลขึ้นมาก่อนดึงตัวประกบแล้วไหลให้นูนเญซวางเท้ายิงบอลผ่านผู้รักษาประตูเข้าไป
“นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการจะหยุดการพูดคุยเรื่องเหล่านั้น” คล็อปป์กล่าวถึงผลงานของนูนเญซหลังจบเกม
“พวกเรามักจะคิดเสมอว่าเราจ่ายเงินมหาศาล แต่ผู้เล่นคงไม่รู้สึกกดดันอะไร จริงๆแล้วพวกเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา และเมื่อการสัมผัสบอลแรกทำได้ไม่สมบูรณ์แบบทุกอย่างก็ตามมา
“นักฟุตบอลรุ่นนี้จะอ่านข้อความบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก แต่พวกเขาก็ทำกันแบบนี้ เขาเป็นกองหน้าในแบบที่แตกต่างจากที่เรามีหรือที่เราเคยมี แต่เขาเป็นนักเตะที่ดีแน่ และนี่คือคืนที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา”
สิ่งที่คล็อปป์ไม่ได้บอกคือนอกจาก 4 ประตูซึ่งสังเกตได้ชัดว่าเพื่อนร่วมทีมพยายามช่วยป้อนโอกาสให้เป็นพิเศษ (มาตั้งแต่ 2 นัดแรกแล้ว) ในสนามนูนเญซยังมีการเล่นที่ผิดพลาดอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการออกบอลให้เพื่อน หรือการสัมผัสบอลในหลายๆ จังหวะ และการจบสกอร์ที่ยังดูไม่เฉียบคมนัก
เพียงแต่ในส่วนของการทำหน้าที่กองหน้าแม้การจบสกอร์จะยังไม่คมกริบแต่ยิงได้ถึง 4 ประตู แม้จะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่องก็ถือว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว และขั้นต่ำที่สุด 4 ประตูแรกของเขากับลิเวอร์พูลจะเป็นต้นทุนที่ดีสำหรับการพยายามพิสูจน์ตัวเองในแอนฟิลด์
มันคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า Resiliencia หรือการเอาชนะความยากลำบากทั้งปวงเพื่อจะกลับมายืนหยัดให้ได้อีกครั้ง
คำที่นูนเญซต้องท่องใส่ใจไปตลอดอีกหลายปีนับจากนี้
อ้างอิง:
- https://www.liverpoolfc.com/news/perfect-night-jurgen-klopp-nunez-goals-and-win-leipzig
- https://www.bbc.com/sport/football/62256249
- ลิเวอร์พูลจะลงสนามเกมอุ่นเครื่องนัดต่อไปโดยจะพบกับเรดบูล ซัลซ์บวร์ก ในวันที่ 27 กรกฎาคม ก่อนจะลงแข่งในรายการเอฟเอคอมมิวนิตีชิลด์ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันที่ 30 กรกฎาคม และปิดท้ายด้วยเกมกับสตราสบูร์กที่แอนฟิลด์ ในวันที่ 31 กรกฎาคม
- ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะเริ่มในวันที่ 6 สิงหาคม โดยลิเวอร์พูลจะไปเยือนฟูแลม น้องใหม่แต่หน้าเก่า ที่คราเวน ค็อตเทจเป็นทีมแรก ก่อนจะพบกับคริสตัล พาเลซ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในอีก 2 นัดถัดไป