เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 กันยายน) สมาชิกพรรครีพับลิกันสายแข็งในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติไม่รับร่างกฎหมายขยายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวที่เสนอโดยแกนนำพรรครีพับลิกัน ทำให้ความหวังที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ จะหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ มีอันต้องริบหรี่ลงอีก
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนน 232-198 เสียง ไม่รับร่างกฎหมายที่จะขยายงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลออกไปอีก 30 วัน โดยร่างกฎหมายที่ไม่ผ่านความเห็นชอบนี้จะลดการใช้จ่ายและจำกัดคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่พรรครีพับลิกันให้ความสำคัญ แต่มีโอกาสน้อยมากที่จะผ่านการลงมติในวุฒิสภา ซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอยู่
ความพ่ายแพ้ดังกล่าวจะทำให้พรรครีพับลิกัน ซึ่งครองเสียงข้างมาก 221-212 เสียงในสภา ไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้พนักงานของรัฐบาลกลางมากถึง 4 ล้านคนอาจต้องถูกเลิกจ้างและไม่ได้รับค่าจ้าง หากงบประมาณรายจ่ายไม่ได้รับการขยายออกไปหลังเวลา 00.01 น. ของวันอาทิตย์ตามเวลาสหรัฐฯ (11.01 น. ตามเวลาประเทศไทย)
อย่างไรก็ดี หลังการลงมติ เควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ยังมีความหวังว่าสภาจะผ่านร่างกฎหมายขยายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราว ด้วยการตัดประเด็นที่สมาชิกรีพับลิกันกลุ่มอนุรักษนิยมและพรรคเดโมแครตไม่สบายใจออกไป อย่างไรก็ดี เขาปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดในเรื่องนี้ ขณะที่มีการคาดการณ์กันว่าสภาจะจัดการลงมติอีกในวันเสาร์
ขณะเดียวกัน ยังไม่ชัดเจนเช่นกันว่าวุฒิสภาจะดำเนินการผลักดันร่างกฎหมายขยายงบประมาณรายจ่ายได้ทันกำหนดเส้นตายดังกล่าวหรือไม่ โดยบ่ายวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐฯ วุฒิสภามีกำหนดลงมติร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจาก สว. สองพรรค ซึ่งเสนอขยายเวลาจัดสรรงบประมาณไปจนถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน แต่อุปสรรคเกี่ยวกับกระบวนการเสนอร่างกฎหมายอาจทำให้การลงมติรอบสุดท้ายล่าช้าไปจนถึงวันอังคาร
เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวเตือนเมื่อวันศุกร์ว่า การชัตดาวน์ของรัฐบาลจะบ่อนทำลายความก้าวหน้าของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยจะส่งผลให้โครงการต่างๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กต้องถูกระงับชั่วคราว และอาจส่งผลให้การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญๆ ต้องล่าช้าออกไป
หากสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการขยายงบประมาณรายจ่าย ก็จะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์เป็นครั้งที่ 4 ในรอบทศวรรษ ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 4 เดือนหลังจากที่รัฐบาลเกือบผิดนัดชำระหนี้ 31 ล้านล้านดอลลาร์ โดยความเสี่ยงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกนี้ทำให้เกิดความกังวลใน Wall Street และบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Moody’s ได้ออกมาเตือนว่า อาจสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือทางเครดิตของสหรัฐฯ
ภาพ: Anna Moneymaker / Getty Images
อ้างอิง:
