‘รัฐ-เอกชน-การเงิน’ ผนึกกำลัง สร้างแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Policy Co-Creation and Execution พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย หวังใช้กลไกใหม่ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย สร้างความยั่งยืน ลดเหลื่อ มล้ำ และยกระดับขีดความสามารถแข่งขันประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า วันที่ 4 ก.ย. สมาคมธนาคารไทยได้เปิดเผย “ร่างพิมพ์เขียว” ภายใต้ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่ชื่อ Reinvent Thailand- A Platform for Sustainable Policy Execution ซึ่งจะเป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน ถือเป็นกลไกใหม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยและสร้างความเชื่อมั่นต่ออนาคตประเทศ
โดยร่างแผนริเริ่มดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหารือร่วมระหว่างกกร. และธปท. เมื่อ 11 ก.ค. 2568 มีเป้าหมายเพื่อประเมินผลกระทบนโยบายการค้าในแต่ละภาคธุรกิจ รวมถึงผลต่อภาคผลิตโดยรวม พร้อมหาแนวทางบรรเทาผลกระทบระยะสั้น และวางรากฐานปรับตัวเพื่อเสริมศักยภาพแข่งขันไทยระยะยาว
ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม มีสาระสำคัญ ว่าเศรษฐกิจไทยท่ามกลางบริบทท้าทาย เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ ภายนอกมีความท้าทายรุนแรง ส่วนภายในมีความเปราะบางสูง หากไม่เร่งแก้ไขร่วมกัน
อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและศักยภาพการเติบโตของประเทศ ความเหลื่อมล้ำสูง ระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่กับเอสเอ็มอี และครัวเรือนรายได้สูงกับรายได้ต่ำหนี้ครัวเรือนสูง คนไทยกว่า 1 ใน 3 มีหนี้ในระบบ และยังมีอีกจำนวนมากเป็นหนี้นอกระบบ
คุณภาพแรงงานไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่
นอกจากนี้ การมีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ ทำให้การจัดเก็บภาษีและการคุ้มครองแรงงานทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง นอกจากนี้ ยังเผชิญผลิตภาพแรงงานต่ำ สินค้าผลิตและส่งออกส่วนใหญ่ไม่ใช่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง คุณภาพแรงงานไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่การลงทุนภาคเอกชนยังต่ำ ขยายตัวเพียงราว 2% หลังวิกฤติโควิด-19
ด้านความสามารถดึงดูดลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง เทียบกับเวียดนามและอินโดนีเซีย หากดูด้านส่งออกโตช้า สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายหมวดสินค้า เช่น ปิโตรเคมี สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
ความท้าทายของรัฐที่รออยู่ ทั้งพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วและรุนแรง ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง ระบบราชการปรับตัวช้า ขาดข้อมูลและการเชื่อมโยงในการบริหารจัดการ ภาระการคลังของภาครัฐอยู่ในระดับสูง
วางเป้าหมาย 4 กรอบการทำงานหลัก
เป้าหมายของการกำหนดพิมพ์เขียวร่วมกันนั้น เพื่อหวังให้เศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องมุ่งสู่ “โตขึ้นยั่งยืน แข่งขันได้ และเป็นธรรม ลดเหลื่อมล้ำ” โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผ่านกรอบการทำงานหลัก 4 ประการ ได้แก่
- รัฐ ต้องวางทิศทางและสร้างสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อธุรกิจและจ้างงาน
- เอกชน เป็นหัวหอกสำคัญในการปรับตัว แสวงหาโอกาสใหม่ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาแรงงาน
- การเงิน ต้องจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย
- กลไกร่วม กกร.-ธปท.-สศค.-สภาพัฒน์ ทำหน้าที่เป็น Policy Platform หรือ “เข็มทิศ” ขับเคลื่อนนโยบายร่วมกัน
ส่วนหลักการทำงาน Policy Platform เพื่อให้ความร่วมมือเกิดผลจริง วางกรอบทำงานชัดเจน ได้แก่
- ระบุปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกัน ตั้งต้นเป้าหมายสร้างมูลค่าเศรษฐกิจและการจ้างงาน
- การขับเคลื่อนต้องมีเจ้าภาพชัดเจน แต่ละเรื่องต้องมีผู้รับผิดชอบหลัก ได้แรงหนุนจากผู้บริหารระดับสูง พร้อมคำมั่นร่วมกัน
- การติดตามและประเมินผล ด้วยข้อมูลเชื่อถือได้ และกำหนด KPI ชัดเจน
ทั้งนี้ พิมพ์เขียวนี้จะเป็นฟันเฟืองสำคัญสร้างการเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือเรียงลำดับความสำคัญ โดยเลือกแก้ปัญหาที่ให้ผลลัพธ์สูงและเชื่อมโยงแรงจูงใจทุกภาคส่วน เช่น การแก้หนี้นอกระบบ ผ่านการออกแบบต้นทุนทางการเงินที่สมดุลกับความเสี่ยง พร้อมสนับสนุนจากรัฐ พลิกฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ ผ่านมาตรฐาน Greenly Made by Thai (GMBT) Certification เพื่อยกระดับการผลิตและสามารถแข่งขัน
การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ ส่วนหนึ่งมาจาก การวางแม่แบบไปสู่การเปลี่ยนแปลง A Template for Change โดยมีหลายส่วนที่สำคัญ
- ภาคเอกชน เป็นหน่วยหลักในการระบุปัญหา เสนอแนวทางการปรับตัว และระบุสิ่งที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคการเงิน
- อนุกรรมการร่วม (กกร.-ธปท.-สศช.-สศค.) ประเมินความพร้อมของธุรกิจ จัดทำแผนแก้ปัญหาและกำหนด KPI ชัดเจน 3. กกร. ชุดใหญ่และภาครัฐ พิจารณาและอนุมัติโครงการและแผนปฏิบัติ
- เวทีร่วมระดับสูง เช่น รองนายกรัฐมนตรี ตัวแทนอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตัดสินใจและสนับสนุนการปรับตัวของเอกชน
- คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผล ทำหน้าที่รายงานความคืบหน้า วิเคราะห์อุปสรรค และปรับปรุงดำเนินงานต่อเนื่อง
กรณีศึกษา พลิกฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์
อุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ถูกหยิบยกขึ้นคือการผลักดันมาตรฐาน GMBT เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โดยการพลิกฟื้นทั้งเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆต้องอาศัยหลายภาคส่วนในการร่วมกันเปลี่ยนแปลง ทั้ง ภาคเอกชน ที่ต้องเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศแทนการนำเข้า ร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน โดยผู้ผลิตรายใหญ่ทำงานร่วมกับผู้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อยกระดับเทคโนโลยี ภาคการเงิน สนับสนุนสินเชื่อเฉพาะ ขณะที่ ภาคประชาชน พัฒนาทักษะเพื่อทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เข้าสู่ตลาดแรงงาน และได้รับแรงจูงใจ
ก้าวต่อไป แพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันกำหนดกรอบแก้ปัญหาเศรษฐกิจใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
- ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง
- ขาดความสามารถแข่งขันในโลกใหม่
- ความท้าทายของรัฐ
นอกจากนี้ จะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ และบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สนค. เพื่อกำหนดกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศ ท่ามกลางความท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐ
รุกแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สร้างพลวัตใหม่
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า “Reinvent Thailand ไม่ใช่เพียงการกำหนดนโยบาย หรือเป็นการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ให้ภาคเอกชนและประชาชนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบ กลั่นกรอง และมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินการ (joint commitment)
โดยภาครัฐทำหน้าที่สนับสนุนและสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับตัว นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในระยะยาว
ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวเพิ่มเติมว่า “การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานานจ าเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่สามารถแก้ไขด้วยมาตรการระยะสั้นหรือโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น
โครงการ Reinvent Thailand ถือเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการเสนอ แนะแนวทางการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อสร้างพลวัตใหม่ให้เศรษฐกิจไทย สามารถแข่งขันได้และเติบโตอย่างยั่งยืน
ภาพ: Getty images / southtownboy