หมดยุคที่จะถามว่าการมีเซ็กซ์ประตูหลังแปลกไหม (ประตูหน้าหรือหลังเป็นเรื่องของรสนิยมล้วนๆ ไม่มีถูกผิด) แต่สิ่งที่เราเป็นห่วงคือคุณแน่ใจแล้วหรือว่าการมีเซ็กซ์ประตูหลังแม้ไม่ทำให้ตั้งครรภ์ได้จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะปลอดโรคร้อยเปอร์เซ็นต์ หากใครที่ยังสงสัยหรือคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าการมีเซ็กซ์ประตูหลังน่าจะเป็นเซฟโซนที่ปลอดภัยกว่าด้านหน้า บางทีคุณอาจคิดผิด
‘ไม่มีเซ็กซ์ไหนปลอดภัยที่สุด’ นี่คือคำตอบที่หมอส่วนใหญ่บอกกับคนไข้ แม้แต่เซ็กซ์ที่ป้องกันมาแล้วอย่างดีด้วยการสวมใส่ถุงยาง เพราะโรคที่มาพร้อมเพศสัมพันธ์อย่างไวรัส HPV, ไวรัสตับอักเสบบี, HIV, หนองใน, ซิฟิลิส ฯลฯ สามารถติดต่อได้หากถุงยางไม่มิดชิดพอหรือหลุดร่นกลางคัน (อะแฮ่ม ถึงได้บอกว่าควรเลือกขนาดถุงยางให้พอดีกับน้องชาย) และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือมีผลการสำรวจหลายชิ้นยืนยันว่าผู้ชายรุ่นใหม่ ‘ไม่นิยม’ การสวมใส่ถุงยาง ไม่ว่าจะมีเซ็กซ์ประตูหน้าหรือประตูหลังก็ตาม
ส่วนคำถามที่เราจั่วหัวไปข้างต้นว่าการมีเซ็กซ์ประตูไหนเสี่ยงต่อการติดโรคมากกว่ากัน เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ายากที่จะเอามาวัด เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีเซ็กซ์ท่าเดียวตลอดคืน (หรือไม่จริง?) ข้อมูลที่ได้มาอาจคลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่ก็มีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเฉพาะเจาะจงโรค HIV หรือเอดส์จนพบว่าการมีเซ็กซ์ประตูหลังที่ไม่ได้สวมใส่เครื่องป้องกันมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค HIV สูงกว่าเซ็กซ์ทางช่องคลอดถึง 20 เท่า เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะทวารหนักบอบช้ำได้ง่ายกว่า เนื่องจากเยื่อบุลำไส้บอบบาง ไม่แข็งแรง ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ (สามารถคลิกเข้าไปดูการป้องกันได้ที่นี่)
ดังนั้นต่อให้คุณคิดว่าการมีเซ็กซ์ประตูหลังไม่ทำให้ตั้งครรภ์จึงไม่ใส่ถุงยางนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย คุณควรตรวจหาโรคเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง และพาคนข้างกายไปตรวจด้วยกัน ควรสวมใส่ถุงยางทุกครั้งไม่ว่าจะมีเซ็กซ์ประตูหน้า ประตูหลัง หรือออรัลเซ็กซ์ หลีกเลี่ยงการใช้เจลหล่อลื่นที่มีน้ำมันเป็นส่วนผสมหลัก เพราะอาจทำให้ถุงยางฉีกขาดหรือรั่วได้ หากมีอาการแปลกๆ เช่น มีตุ่มหนอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนมีเซ็กซ์ครั้งต่อไป โดยเฉพาะเซ็กซ์ที่ขาดการป้องกัน
ภาพประกอบ: Karin foxx
อ้างอิง: