วันนี้ (9 ธันวาคม) เมื่อเวลา 09.00 น. รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ระดมยิงอาวุธนานาชนิดเข้าใส่เขตอธิปไตยของไทยอย่างหนัก โดยมีการใช้อาวุธหนักทั้งจรวดหลายลำกล้อง BM-21, ปืนใหญ่ และโดรนทิ้งระเบิด โจมตีเข้ามายังพื้นที่ตำบลกระสุนตกในฝั่งไทย
ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์และโบราณสถานหลายแห่ง ได้แก่ ปราสาทตาควาย, ปราสาทตาเมือน, ช่องปลดต่าง, เขาพระวิหาร, ช่องระยี, ภูมะเขือ, เนิน 600, บ้านภูมิซรอล หมู่ 12, ช่องอานม้า, ช่องบก และพลาญยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ พญาสัตบรรณ, ช่องอานม้า และเนิน 561 ซึ่งตกเป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างรุนแรงด้วย โดรนพลีชีพจากฝ่ายตรงข้าม
กองทัพภาคที่ 2 ได้ชี้แจงถึงความจำเป็นในการใช้ปฏิบัติการทางทหาร โดยยืนยันว่า ไทยปฏิบัติการเพื่อป้องกันตนเอง ไม่ใช่ฝ่ายรุกราน และฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มรุกล้ำอธิปไตยและเปิดฉากโจมตีก่อน โดยมีสาระสำคัญ 7 ประการ
1. ไทยป้องกันตัว ไม่ใช่ผู้รุกราน: ทุกปฏิบัติการมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนเท่านั้น
2. ภัยคุกคามต่อชีวิตเป็นเรื่องจริง: มีการลอบวางทุ่นระเบิดและยิงใส่ทหารไทยจนบาดเจ็บพิการ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งเจ้าหน้าที่และพลเรือน
3. พบการเล็งเป้าหมายพลเรือน: ข่าวกรองยืนยันการเคลื่อนย้ายจรวดหลายลำกล้องพิสัยไกลกว่า 100 กม. โดยมีการเล็งเป้าหมายไปยังพื้นที่ใกลสนามบินบุรีรัมย์ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อประชาชน
4. ความจำเป็นต้องตอบโต้ตามกฎหมายสากล: การดำเนินการยึดตามกฎการปะทะและสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐอธิปไตย
5. การยับยั้งภัยคุกคามเชิงรุก: กองทัพจะไม่รอให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ แต่จะตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อป้องกันความสูญเสีย
6. พฤติกรรมเป็นปรปักษ์ซ้ำซาก: ฝ่ายตรงข้ามมีการกระทำที่เป็นภัย (Hostile Act) และแสดงเจตนาคุกคาม (Hostile Intent) อย่างต่อเนื่อง
7. ภารกิจจะดำเนินจนกว่าภัยคุกคามจะยุติ: กองทัพไทยจะปฏิบัติหน้าที่จนกว่าประเทศชาติและประชาชนจะปลอดภัยอย่างแท้จริง
กองทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่าจะยืนหยัดปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มกำลังความสามารถ และพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อยุติภัยคุกคามที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนให้เร็วที่สุด


