ไม่ต้องอธิบายอะไรมากกับการลงทุนแนวอนาคต ไม่ว่าจะเป็น Tesla, ARK หรือบิตคอยน์ที่ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากวันที่ Tesla ประกาศนำบิตคอยน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงบการเงิน การลงทุนทั้งกลุ่มนี้ก็ร่วงลงไม่น้อยกว่า 25% ฉุดตลาดให้ปรับฐานตามไปด้วย
ผมให้เหตุผลที่เรา ‘ควรทิ้ง’ การลงทุนเหล่านี้ไปก่อน
ข้อแรก เพราะการลงทุนเหล่านี้ติดลบ
ประเด็นนี้ควรเป็นเหตุผลหลักของคนที่ลงทุนแค่เพราะเห็นว่าราคาปรับตัวบวกขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ผลตอบแทนในอดีตจะไม่ได้ยืนยันว่าผลตอบแทนในอนาคตจะบวกหรือลบ แต่นักลงทุนต้องยอมรับว่าสถานการณ์ของตลาดการเงินช่วงนี้ ไม่เหมาะกับกลยุทธ์ Momentum
เพราะเมื่อตลาดอยู่ในช่วงเปลี่ยนจาก ‘ล็อกดาวน์’ เป็น ‘เปิดใหม่’ นักลงทุนสถาบันจะเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเป็น Reversal ซื้อกลุ่ม Value หรือ Laggard รับการกลับมาเปิดทำการปกติของเศรษฐกิจ
และด้วยผลตอบแทนที่การลงทุนเหล่านี้ทำได้ก่อนหน้าที่ระดับบวกเกิน 100% ความเสี่ยงในการกลับตัวก็จะสูงกว่าการลงทุนธรรมดาทั่วไปอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น เดือนตุลาคมปี 2019 ความหวังของอนาคตอย่างหุ้น Tesla ที่ปรับตัวบวกถึง 290% ก็เคยติดลบจากจุดสูงสุดได้หนักถึงกว่า 60% ในเวลาแค่ 20 วัน
หรือแม้จะเป็นบิตคอยน์ เราก็ไม่ควรลืมช่วงปี 2017 ที่ราคาปรับตัวขึ้นกว่า 700% ภายใน 5 เดือน แต่จบด้วยการติดลบกว่า 80% ในปีถัดมา และต้องรอถึงกว่า 2 ปีจากจุดต่ำสุดถึงจะฟื้นตัว
ข้อสอง เพราะมีการลงทุนที่มีผลตอบแทนคาดหวังเพียงพอ แต่ระดับความเสี่ยงต่ำกว่ามาให้เลือกแล้ว
นี่คือเหตุผลหลักที่กลุ่ม Value ฟื้นตัว และทำให้เกิดการเปลี่ยนกลุ่มผู้นำ
ประเด็นสนับสนุนมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระดับ Valuation ที่ต่ำกว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีอัปไซด์มากขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ มองย้อนกลับไปสามครั้งล่าสุดของช่วง 100 วันแรกหลังเลือกตั้งที่มีการเปลี่ยนผู้นำสหรัฐฯ เราได้เห็นยีลด์ขาขึ้น และการฟื้นตัวของกลุ่ม Value เช่นนี้เสมอ
ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวจริง นักเก็งกำไรจึงไม่ได้มีความจำเป็นต้องมุ่งหาความผันผวนสูงๆ เพื่อทำกำไรในระยะสั้นมากเหมือนแต่ก่อน
และข้อสาม ยังเร็วเกินไปสำหรับธุรกิจแห่งอนาคตเหล่านี้
บ่อยครั้งที่ความคาดหวังของนักลงทุนในตลาดนำธุรกิจจริงไปมาก
ตัวอย่างคือ การลงทุนตระกูล ARK Invest ที่ผมเคยเขียนถึงในช่วงเดือนมกราคมว่า ในเชิงพื้นฐาน Innovation มักลดความร้อนแรงลงเมื่อเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ช่วง ‘เติบโตปกติ’ และช่วงเติบโตปกติคือช่วงที่ยาวนานที่สุดในวัฏจักรการลงทุน
Innovation อาจเป็นอนาคตก็จริง เช่นตัวอย่างที่ ARK มักหยิบยกขึ้นมาว่าลงทุนในบริษัท Amazon ในช่วงวิกฤตปี 2009 สุดท้ายก็กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดในทศวรรษ แต่ที่จริงจะรอถึงปี 2015 ก็ยังไม่สายที่จะลงทุน ขณะที่นักลงทุนหลายท่านก็ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะ ‘อยู่ยาว’ กับการลงทุนนี้มาตั้งแต่ต้น
ดังนั้น ใครที่คิดว่าลงทุนไปเพราะแค่เห็นว่าการลงทุนนี้ปรับตัวขึ้น อยากเก็งกำไรสั้นๆ และไม่ได้สนใจจะลงทุนในธุรกิจอนาคตจริงๆ ก็ควร ‘ทิ้ง’ การลงทุนเหล่านี้ไป
แต่สำหรับคนที่อ่านแล้วไม่ถอดใจ เหตุผลที่จะ ‘อยู่ต่อ’ ก็ใช่ว่าจะไม่มี
ข้อแรก เพราะราคาปรับตัวลงมามากแล้ว และถ้าอนาคตมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อจะสามารถฟื้นตัวได้แรง
ความผันผวนของหุ้นโลกตอนนี้คือประมาณ 20% ต่อปี แต่การลงทุนเหล่านี้มีความผันผวนตั้งแต่ 40% ไปถึง 80% ในเชิงความเสี่ยงแน่นอนว่าดูสูงกว่าปกติ แต่นั่นก็คือเหตุผลที่การลงทุนนี้บวกมาได้อย่างมหาศาล และถ้าฟื้นตัวได้ก็จะแรงได้ในแบบเดียวกัน
ด้วยการปรับฐานล่าสุด แค่ให้การลงทุนเหล่านี้กลับไปที่จุดสูงสุดเดิมก็มีผลตอบแทนคาดหวังมากพอกับความเสี่ยงระดับหนึ่ง และด้วยความเป็นอนาคต เมื่อมีโฟลวใหม่เข้ามา ก็มักเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดึงดูดใจนักลงทุนใหม่ได้อยู่เสมอ เพราะง่ายต่อการทำความเข้าใจ
ข้อสอง เพราะการลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่สัดส่วนใหญ่ของพอร์ต และเรารับความเสี่ยงได้
เพราะที่จริงการลงทุนไม่ใช่การเก็งกำไร และเราไม่ได้จำเป็นต้องเก็งถูกไปหมด แต่แค่ต้องแบ่งสัดส่วนให้เหมาะสม
มองในแง่ความสัมพันธ์กับตลาด เราไม่สามารถแยกการลงทุนแนว Innovation Technology หรือ Growth ออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด เช่น ดัชนี Nasdaq ก็มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับทั้ง ARK และ Tesla เกิน 0.6 และการเติบโตของกำไรในตลาดระยะยาว ก็คาดว่าจะมาจากกลุ่มธุรกิจใหม่เหล่านี้ ไม่ใช่กลุ่ม Old Economy
ยิ่งถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่ไม่ตามตลาด ในปัจจุบันก็หาคู่แข่งที่ดีกว่าบิตคอยน์ หรือหุ้น Innovation ยาก
ประเด็นที่แท้จริงจึงอาจไม่ได้อยู่ที่รูปแบบของการลงทุน แต่อยู่ที่การจัดสัดส่วนให้พอเหมาะ เพราะเราเห็นแล้วว่าตลาดรับความผันผวนมากไปกว่านี้ไม่ไหว ทางที่ดีจึงแค่ไม่ควรฝืน และทำความเข้าใจกับบทบาทของการลงทุนแต่ละชนิด
และข้อสุดท้าย เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าการลงทุนเหล่านี้คืออนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน
เพราะถ้าการลงทุนเหล่านี้คืออนาคตจริง ทั้งช่วงที่บวกแรงและช่วงที่ลบแรงที่ผ่านมา อาจเป็นแค่แรงกระเพื่อมของหยดน้ำกลางมหาสมุทร
ความผันผวนรอบนี้ทำให้เราเห็นแล้วว่า Noise ในตลาดการเงินที่เกิดขึ้นมีมากแค่ไหน
แต่ยิ่งโฟลวเยอะ ผลกระทบก็จะแรงตามมา ทั้งในแง่ของราคาและความสนใจของสังคม ทำให้เกิดการถกเถียง วิจัย แข่งขัน เช่น บิตคอยน์ ถ้าราคาไม่ขึ้นมาถึงขนาดนี้ก็ยากที่นักลงทุนสถาบันทั่วโลกจะตื่นตัว ซึ่งในระยะยาวสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งจะทำให้ Disruptive Innovation ทั้งหลายเกิดขึ้นเร็วขึ้นไปอีก
และนั่นก็คือมุมมองของผมเกี่ยวกับเหตุผลที่ควรถือหรือทิ้งการลงทุนแห่งอนาคตที่ปรับฐานลงมาแรง
ไม่มีนักลงทุนท่านไหนที่เคยเจอประสบการณ์ไวรัสระบาดทั่วโลก ล็อกดาวน์ กระตุ้นเศรษฐกิจ และกลับมาเปิดเมือง และคงไม่มีใครบอกได้ว่าหลังจากนี้การลงทุนแนวอนาคตจะรุ่งหรือร่วงกันแน่
ทางที่ดี จึงควรหมั่นสำรวจเหตุผลของการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ความโลภหรือความกลัวกำหนดสัดส่วนการลงทุนของเรา คาดหวังกับการลงทุนอย่างมีเหตุผล และอย่าลืมคิดถึงวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการลงทุนของตนเองด้วย
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล