ดูเหมือนการรอดพ้นความปราชัยอีกครั้งของ เรอัล มาดริด ในศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พวกเขาทำได้มาแล้วใน 2 รอบก่อนหน้ากับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หนึ่งในทีมเต็งของรายการ และเชลซี แชมป์เก่า เพียงแต่ไม่มีใครที่คิดว่าพวกเขาจะทำสำเร็จได้อีกครั้งกับทีมที่เพียบพร้อมไปเสียทุกด้านอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้
การหลบหนีความพ่ายแพ้ของ Los Blancos ไม่ต่างอะไรจากการหลบหนีจากพันธนาการได้ราวกับผู้วิเศษของ แฮร์รี ฮูดินี ตำนานนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก
ฮูดินี หรือ เอริก เวซ นักมายากลชาวยิวอเมริกันเชื้อสายฮังกาเรียน เมื่อร่วม 100 ปีก่อน ได้รับการยกย่องเป็นจ้าวแห่งกล ‘หลบหนีจากการคุมขัง’ ถึงขั้นที่เคยประกาศตนผ่านการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า ไม่มีลูกกลอนใดบนโลกใบนี้ที่เขาจะไขมันออกไม่ได้
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ในการแสดงกลของฮูดินีไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะหลบหนีออกจากสิ่งที่พันธนาการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกใส่กุญแจมือแล้วให้กระโดดลงไปในน้ำ การหลบหนีจากถังนมขนาดเท่าตัวคน หรือการหลบหนีจากห้องขังเดี่ยวในคุก
แต่การแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดและน่าหวาดเสียวที่สุดของฮูดินีคือกลชุด The Chinese Water Torture Cell หรือการหลบหนีจากคุกน้ำ เครื่องทรมานของจีนยุคโบราณที่ตัวเขาจะถูกจับใส่กุญแจไว้ที่ขาแล้วห้อยหัวลงมาในน้ำ ก่อนการแสดงเขาจะให้โอกาสผู้ชมได้ขึ้นมาสำรวจคุกน้ำอย่างใกล้ชิดทุกจุดเพื่อให้หมดความสงสัย
จากนั้นการแสดงจะเริ่มขึ้นเมื่อเขาถูกหย่อนลงไปในคุกน้ำโดยที่มีฝาปิดล็อกด้วยกุญแจอย่างแน่นหนา ก่อนที่ม่านด้านหน้าคุกน้ำจะถูกปิดลง ท่ามกลางการลุ้นระทึกของผู้ชมที่กังวลเกี่ยวกับความเป็นความตายของฮูดินีที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในสถานการณ์อันน่าเหลือเชื่อ
ในระหว่างที่หัวใจของผู้ชมกำลังเต้นระทึก นักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ก็จะปรากฏตัวในสภาพเปียกโชกแต่เป็นอิสระจากพันธนาการใดๆ ทั้งปวง แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง
เกมที่ ซานติอาโก เบร์นาเบว เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เช่นกัน หากจะเปรียบไปแล้วตลอดระยะเวลา 89 นาทีในสนาม – ซึ่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่เพียงแต่จะพกความได้เปรียบจากชัยชนะ 4-3 จากนัดแรก พวกเขายังชิงความได้เปรียบเพิ่มอีกจากประตูที่เด็ดขาดของ ริยาด มาห์เรซ ในนาทีที่ 72 – มันไม่ต่างอะไรจากการจับฮูดินีใส่พันธนาการแล้วเริ่มหย่อนหัวลงไปในน้ำ
ประตูขึ้นนำของ ริยาด มาห์เรซ ควรจะนำแมนฯ ซิตี้เข้าชิงได้อีกครั้งแล้ว
จนเข้าสู่นาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ช่วงเวลาที่ไม่ต่างอะไรจากตอนที่ม่านหน้าคุกน้ำได้ถูกปิดลง – 2 นาทีหลังจากนั้นเรอัล มาดริดก็รอดพ้นจากความตายได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
2 นาทีนี้เป็นช่วงเวลาของความบ้าคลั่งอย่างแท้จริง ที่ชวนคิดถึง 2 ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 1999 ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพลิกนรกกลับมาเอาชนะบาเยิร์น มิวนิกได้ ความรู้สึกมันคล้ายกันอย่างมาก
แต่ในความอัศจรรย์นั้นไม่ได้ถึงกับเกิดขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไป
ตัวสำรองที่ถูกส่งลงสนามมาอย่างโรดริโก และ เอดูอาร์โด กามาแวงกา ซึ่งลงสนามมาแทน โทนี โครส และ ลูกา โมดริช ในนาทีที่ 68 และ 75 ตามลำดับคือขุมพลังที่ร้อนแรงของคนหนุ่มที่ช่วยทีมได้อย่างมาก และทั้งสองก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
เหตุการณ์สำคัญที่อาจถูกมองข้ามไปเกิดขึ้นในนาทีที่ 86 ของการแข่งขันเมื่อ แจ็ค กรีลิช ตัวสำรองที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ส่งลงสนามมาแทน กาเบรียล เฆซุส ได้โอกาสทองในการพาบอลลากเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษก่อนจะยิงสวน ติโบต์ กูร์กตัวส์ ได้แล้ว แต่ แฟร์กล็องด์ เมนดี สามารถสกัดได้บนเส้นอย่างหวุดหวิด
หากลูกนี้เข้าไปแมนฯ ซิตี้จะได้เข้าชิงแชมเปียนส์ลีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแน่นอน แต่เมื่อทำไม่ได้ฆ่าคู่แข่งไม่ตายก็กลายเป็นโดนเสียเอง
จากจะเสียประตูเรอัล มาดริดมาได้ประตูตีไข่แตกในนาทีที่ 89 ของเกมเริ่มจากการวางบอลไปยังพื้นที่ว่างในกรอบเขตโทษที่แม่นยำของคามาแวงกา ก่อนที่ คาริม เบนเซมา จะพิสูจน์ ‘คลาส’ ของนักฟุตบอลระดับโลกด้วยการกระโดดแปบอลกลับมาจังหวะเดียวให้โรดริโก โฉบตัดหน้าเอแดอร์ซอนแล้วสะกิดบอลเข้าประตูไปในระยะเผาขน
หลังได้ประตูนี้โรดริโกรีบหยิบบอลกลับไปตั้ง ณ จุดกึ่งกลางสนามทันทีด้วยรู้ว่าพวกเขายังมีความหวัง ก่อนที่ ดานี การ์บาฆาล จะครอสบอลเข้ามากลางประตูแบบเน้นๆ
ลูกเปิดนั้นโค้งเข้ามาถึงโรดริโก ไอ้หนูดาวรุ่งชาวบราซิลที่ถูกดึงตัวมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ทะยานขึ้นขวิดบอลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม และทำให้ผลต่างประตูรวมกลับมาเสมอกันที่ 5-5 ต้องเล่นกันในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
โรดริโกโขกพังประตูช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้เรอัล มาดริดรอดพ้นจากความตายอย่างเหลือเชื่อ
และถึงตรงนี้ทุกคนคงจะรู้แล้วว่าฉากจบของเรื่องคืออะไร
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากความมหัศจรรย์นั้นคือความปรารถนาที่จะไม่ยอมแพ้ของเรอัล ซึ่งแม้จะตกเป็นรองแต่พวกเขายังไม่ถอดใจ ชีวิตสู้มาก็สู้กลับด้วยแบบไม่ลดละ
เมื่อบวกกับพลังเสียงเชียร์จากแฟนบอลมาดริดิสตาที่มาด้วยหัวใจที่เกินร้อยได้รับการตอบสนองอย่างดีจากผู้เล่นในสนามที่สู้ไม่มีถอย ยิ่งแฟนบอลร้อง ‘Si Se Puede!’ ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ‘ใช่ เราทำได้!’ ดังเท่าไร ก็ดูเหมือนนักเตะของพวกเขาจะยิ่งถวายหัวใจเล่นเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นคือเรื่องของประสบการณ์ และสิ่งที่อาจจะอยู่เหนือการอธิบาย เช่น Mentality บางอย่างของเรอัล มาดริดที่มักจะมีพลังแฝงพิเศษเสมอยามเมื่อลงเล่นในรายการนี้
สำหรับแมนฯ ซิตี้มันเป็นคำตอบของสิ่งที่พวกเขาพยายามแสวงหาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาและจนวันนี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ แม้ว่าทีมของพวกเขาจะยอดเยี่ยมมากในระดับใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบแล้วก็ตาม
เป็นอีกครั้งที่ผู้จัดการอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต้องผิดหวัง เพราะนับจากการคว้าถ้วย Big Ears ได้ 2 จาก 3 ฤดูกาลแรกในชีวิตการทำงาน เขาก็ไม่เคยได้สัมผัสกับรางวัลเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลยุโรปอีกเลย
และเป็นอีกครั้งสำหรับ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ต้องเจ็บปวดกับการที่ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วนอกจากการนั่งมองดูทีมปราชัยไปต่อหน้าในเวลาที่คิดว่ามีความหวังมากที่สุด
เรอัล มาดริด และลิเวอร์พูลจะได้พบกันอีกครั้งในเกมนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งคู่ชิงนี้นอกจาก คาร์โล อันเชล็อตติ นักเตะเรอัล มาดริด และชาวมาดริดิสตาแล้วยังมีคนที่สุขสมหวังเพิ่มอีกคนคือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ผู้ที่มีบัญชีแค้นจากนัดชิงในปี 2018 ที่เขาถูก เซร์คิโอ รามอส เล่นนอกเกมจนบาดเจ็บและต้องออกจากสนามตั้งแต่ต้นเกม
การรีแมตช์ครั้งนี้ยังมีความพิเศษอีกอย่างคือจะเป็นการกลับมาพบกันในเมืองเก่าที่ทั้งสองทีมเคยพบกันมาก่อนในรอบชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ในปี 1981 เพียงแต่เปลี่ยนจากสนามพาร์ก เดส์ แพร็งซ์ ของปารีส แซงต์ แชร์กแมง มาเป็นสตาด เดอ ฟรองซ์ที่แซงต์ เดอ นีส์แทน
โดยที่น่าคิดว่าเมื่อถึงวันนั้น เรอัล มาดริด จะต้องสวมบทเป็น แฮร์รี ฮูดินี อีกครั้งหรือไม่