วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคมนี้แล้วที่ฟุตบอลถ้วยรายการใหญ่ที่สุดสำหรับสโมสรยุโรปอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกำลังจะเผยโฉมหน้าผู้ชนะ โดยผู้ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในปีนี้คือเรอัล มาดริด ที่เข้ามาไล่ล่าแชมป์สมัยที่ 4 จาก 5 ฤดูกาลที่ผ่านมากับลิเวอร์พูลที่คว้าแชมป์รายการนี้ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2005 ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี ด้วยการเอาชนะเอซี มิลาน โดยดวลจุดโทษไป 3-2
โดยเส้นทางของเรอัล มาดริด หลังจากที่ผ่านเข้ารอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฐานะรองแชมป์กลุ่มจากท็อตแนม ฮอตสเปอร์ จนต้องพบกับงานหินตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่จากแมตช์นั้นมาจนถึงวันนี้ พวกเขาไล่เก็บแชมป์ลีกสูงสุดในแต่ละประเทศมาตั้งแต่ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, แชมป์ลีกเอิง ฝรั่งเศส ในรอบ 16 ทีม, ยูเวนตุส แชมป์เซเรีย อา อิตาลี ในรอบ 8 ทีม และบาเยิร์น มิวนิก แชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี ในรอบรองชนะเลิศ จนไม่สามารถปฏิเสธคำพูดที่โทนี โครส กองกลางชาวเยอรมันของทีมที่ได้กล่าวไว้ในช่วงต้นฤดูกาลว่า “ฟุตบอลถ้วยยุโรปมอบพลังพิเศษให้กับเรอัล มาดริด”
ซึ่งการเข้าชิงเป็นสมัยที่ 4 จาก 5 ฤดูกาลที่ผ่านมาและการเดินหน้าสู่เป้าหมาย “All out for number 13” หรือการไล่ล่าแชมป์สมัยที่ 13 ของพวกเขา รวมถึงเส้นทางในรอบน็อกเอาต์ที่พวกเขาได้เอาชนะที่สุดของแต่ละลีกในยุโรปมาเกือบทุกลีก ทำให้พวกเขาถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์ในเกมนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เป็นที่เรียบร้อย
“เราคือเรอัล มาดริด และความสำเร็จคือสิ่งที่อยู่ในดีเอ็นเอของพวกเรา”
โทนี โครส กองกลางชาวเยอรมัน ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในวันที่เรอัล มาดริด ออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างน่าผิดหวังเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2015 ในช่วงเวลาที่ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นผู้คุมชะตาการเดินหมากของสโมสร
ในช่วงเวลานั้น เรอัล มาดริด เหมือนกับแชมป์โลกที่เพิ่งเสียเข็มขัดและกำลังมึนเมากับหมัดชุดที่คู่ชกออกรัวเข้าใส่ตั้งแต่การตกรอบฟุตบอลโกปาเดลเรย์ และความพ่ายแพ้ในเอลกลาซิโกให้กับบาร์เซโลนา คู่อริตลอดกาลอย่างน่าอับอายไปถึง 4-0 และหล่นไปอยู่ในอันดับที่ 3 ในลาลีกา สเปน
แต่ภายในช่วงเวลาไม่ถึง 10 วัน ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็มาถึง เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2016 เรอัล มาดริด ก็ตัดสินใจปลดราฟาเอล เบนิเตซ และแต่งตั้งซีเนดีน ซีดาน อดีตนักเตะของทีมและอดีตทีมชาติฝรั่งเศสผู้ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะนำพาสโมสรไปในทิศทางใดเข้ามาคุมทีมด้วยสัญญา 2 ปีครึ่ง
ช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปีผ่านไป ซีดานได้พิสูจน์แล้วว่าเขานำพาสโมสรกลับเข้าสู่ดีเอ็นเอแห่งความสำเร็จของสโมสรด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลรายการนี้เปลี่ยนชื่อเมื่อปี 1993 และในเวลานี้กำลังเตรียมสร้างสถิติเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกติดต่อกัน 3 สมัยได้เป็นทีมแรก นับตั้งแต่บาเยิร์น มิวนิก ที่คว้าแชมป์ยุโรปติดต่อกัน 3 สมัยในปี 1976
ประวัติศาสตร์ความสำเร็จคือดีเอ็นเอของสโมสร
นิวซีแลนด์ ออลแบล็กส์ คือทีมที่หลายคนยกให้เป็นสัญลักษณ์ของกีฬารักบี้และประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยความสำเร็จบนเวทีนานาชาติและฝีมือของนักรักบี้แต่ละคน ทำให้ทุกครั้งที่นักกีฬาสวมเสื้อสีดำของทีม นักกีฬามีความคาดหวังให้ต้องชนะทุกเกมที่ลงแข่งขัน ขณะที่เพียงแค่คู่แข่งเห็นสีเสื้อก็ให้ความเคารพและรู้สึกถึงความเป็นรองในทันที
ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ก็ไม่ต่างกัน เมื่อใดก็ตามที่เสื้อสีขาวของเขาพวกถูกสวมใส่ลงสนามในเวทียุโรป นักเตะที่ใส่จะถูกคาดหวังให้เป็นที่หนึ่งเท่านั้น นอกนั้นคือความล้มเหลว ในขณะเดียวกัน คู่แข่งที่ถูกจับสลากมาพบก็ย่อมหวั่นเกรงด้วยสถิติแชมป์ 12 สมัยที่ถูกแปะไว้บนแขนเสื้อเหมือนกับเพชรเม็ดงามประดับบนยอดมงกุฎในสัญลักษณ์ของสโมสร บวกกับสตาร์ดังระดับโลก ไล่ตั้งแต่คริสเตียโน โรนัลโด ไปจนถึงซีเนดีน ซีดาน ผู้จัดการทีม
มานูเอล ซานชีส อดีตกัปตันทีมเรอัล มาดริด ชุดแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 1998 ได้ให้สัมภาษณ์กับ Goal.com ถึงความสำเร็จที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินของสโมสรแห่งนี้ว่า
“คุณจะอธิบายดีเอ็นเอความสำเร็จของทีมเรอัล มาดริด อย่างไรน่ะเหรอ ผมบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจอื่นแล้วมาทำทีมฟุตบอลคงไม่เข้าใจ
“พวกเขาคุ้นเคยกับความสามารถในการซื้อทุกอย่างด้วยเงิน แต่ไม่ใช่ความสำเร็จแบบนี้ คุณไม่สามารถซื้อประวัติศาสตร์ 116 ปีของสโมสรเรอัล มาดริด ตำนานที่นักเตะได้สร้าง และความรู้สึกต่างๆ ที่พวกเขาได้ทิ้งไว้ในห้องแต่งตัว หรือยีนความสำเร็จที่ถูกสืบทอดต่อโดยเซร์คิโอ รามอส และคริสเตียโน โรนัลโด จากนักเตะอย่างอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน
“ทำให้เจ้าของสโมสรทีมอื่นๆ ที่มีเช็คอยู่ในมือมองทีมมาดริดแล้วถามว่าจะซื้อความสำเร็จแบบนี้ได้อย่างไร ขอโทษนะ คุณซื้อไม่ได้ ขอโทษด้วย”
ซีดาน ตัวแทนดีเอ็นเอแห่งความสำเร็จทั้งในและนอกสนาม
ซีดานเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ได้สัมผัสความสำเร็จทั้งในและนอกสนามอย่างแท้จริงในฐานะนักเตะ เมื่อปี 2002 เขายิงลูกวอลเลย์สุดสวยพาทีมมาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 9 เหนือไบเออร์ เลเวอร์คูเซนในนาทีที่ 45 ซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งในประตูที่สวยงามที่สุดของการแข่งขัน จนการก้าวเข้ามาคุมทีมเมื่อต้นปี 2016 และได้สัมผัสถ้วยแชมป์ในฐานะผู้จัดการทีม 2 สมัยที่ผ่านมา
ด้วยความเข้าใจในปรัชญาที่ว่าความสำเร็จเท่านั้นคือความพอใจของทุกคนที่สโมสรแห่งนี้ ซีดานจึงรู้ดีว่าต้องได้แชมป์เท่านั้นเขาจึงจะอยู่ที่สโมสรแห่งนี้ต่อได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องอำลาจากตำแหน่งไม่ช้าก็เร็ว
นักเตะทุกคนที่เข้ามาในสโมสรแห่งนี้ก็เข้าใจปรัชญานี้เช่นกัน พวกเขาถูกคาดหวังให้สร้างตำนานต่อจากผู้ที่มาก่อน และนั่นคือสาเหตุที่นักเตะที่มาก่อนมีความกระหายแชมป์มากขึ้นทุกปี
ความกดดันรูปแบบนี้ทำให้นักเตะหน้าใหม่มองไปถึงรุ่นพี่ที่เคยทำไว้ให้เห็น และทุกปีพวกเขาจะเพิ่มนักเตะหน้าใหม่เข้าสู่ทีมอย่างน้อย 2-3 คนเข้ามาสานต่อปรัญชานี้
ด้วยความเข้าใจที่ตรงกันนี้เอง ทำให้นักเตะใหม่-เก่า โค้ช และทีมงานรู้ดีว่าพวกเขาถูกคาดหวังให้ไปสู่รอบชิงฯ ด้วยความคิดที่ฝังอยู่ในใจว่าต้องชนะเท่านั้น และนี่เองคือฐานของความสำเร็จที่ต้องถูกต่อยอดให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นสโมสรที่ไม่มีพื้นที่ให้กับผู้ที่พ่ายแพ้
เซร์คิโอ รามอส ผู้ที่พร้อมหักอกคนเมืองลิเวอร์พูลในค่ำคืนที่กรุงเคียฟ
จากดีเอ็นเอความสำเร็จมาสู่ผู้นำพาทีมไปยังเป้าหมายในครั้งนี้คือกองหลังวัย 32 ปี เซร์คิโอ รามอส ที่สื่อกีฬาอังกฤษอย่าง BBC ยกให้เป็นคนที่จะหักอกแฟนบอลลิเวอร์พูลในค่ำคืนวันที่ 26 พฤษภาคม
โดยมอบเหตุผลหลักให้ว่า ด้วยความคุ้นเคยในรายการนี้ทำให้ทุกครั้งที่เรอัล มาดริด ผ่านเข้าสู่รอบชิงฯ เปรียบเสมือนการเล่นในบ้านของพวกเขา ซึ่งขวัญใจของแฟนบอลเรอัล มาดริด คือรามอส ซึ่งทาง BBC ยกให้เขาเป็นนักฟุตบอลคนโปรดของทีมในระดับเดียวกับราอูล กอนซาเลซ
เซร์คิโอ รามอส จากเซบียาก้าวเข้ามาสู่ถิ่นซานติเอโก เบอร์นาบิว เมื่อปี 2005 ด้วยค่าตัว 27 ล้านยูโรในวัย 19 ปี ซึ่งเขามาพร้อมกับประโยคที่ว่า “ไม่มีกองหลังคนไหนในโลกที่มีมูลค่าสูงขนาดนั้น” จากโฆเซ มาเรีย เดล นีโด ประธานสโมสรเซบียา
6 ปีแรกกับสโมสร เขารับหน้าที่เป็นแบ็กจอมบุกที่เน้นใช้ความเร็ว แต่ยังไม่มีประสบการณ์ในด้านของแท็กติกมากนัก
แต่ความเปลี่ยนแปลงสู่ตำแหน่งที่แข็งแกร่งของเขาเกิดขึ้นภายใต้การคุมทีมของโฆเซ มูรินโญ เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2011 มูรินโญปรับเขามารับตำแหน่งกองหลังในเกมที่พบกับเอสปันญอล เพื่อทดแทนริคาร์โด คาร์วัลโญ ที่ขณะนั้นได้รับบาดเจ็บ
7 เกมหลังจากนั้น เขาได้ลงเป็นตัวจริงในตำแหน่งนี้พร้อมสถิติเสียเพียงประตูเดียว และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเขากับตำแหน่งใหม่ซึ่งสร้างให้เขาเป็นนักเตะที่มีโฟกัสมากขึ้น สามารถไว้วางใจได้ และเป็นผู้นำจากเกมในแดนรับ ถึงขนาดที่คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตกุนซือเอซี มิลาน และเรอัล มาดริด ยกย่องว่ารามอสมีทุกอย่างที่เปาโล มัลดินี อดีตกองหลังระดับตำนานของเอซี มิลาน และทีมชาติอิตาลีมี
ซึ่งครั้งนี้คนที่เขาต้องผนึกกำลังกับมาร์เซโลเพื่อหยุดยั้งโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ นักเตะที่ร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเขาก็ยืนยันด้วยคำพูดของตัวเองว่า
“เขา (ซาลาห์) ก็แค่นักเตะอีก 1 คนใน 11 ผู้เล่นที่เราต้องเจอ”
กองหลังที่มีสัญชาตญาณของกองหน้า
นอกจากเกมรับที่ไว้วางใจได้แล้ว รามอสยังเป็นกองหลังที่ทำประตูในช่วงเวลาสำคัญได้อย่างต่อเนื่อง เขายิงไปทั้งหมด 77 ประตูตลอดการค้าแข้ง โดยช่วงเวลาสำคัญในการทำประตูของเขาเริ่มจากปี 2014 ที่สนามอัลลิอันซ์อารีนา มิวนิก เมื่อรามอสโหม่ง 2 ประตูในช่วงเวลาเพียง 4 นาที ส่งให้ทีมบาเยิร์น มิวนิก ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ตกรอบรองชนะเลิศในปีนั้น
นอกจากนี้เขายังยิงประตูในรอบชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2016 ยิงประตูในยูฟ่าซูเปอร์คัพรอบชิงฯ กับเซบียา และยิงประตูในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกรอบรองชนะเลิศและรอบชิงฯ อีกด้วย
เขายิงประตูในช่วงเวลาสำคัญอย่างต่อเนื่องจนแฟนบอลจะเริ่มต้นร้องเพลงเชียร์ให้รามอสยิงในช่วงเวลาสำคัญที่ซานติเอโก เบอร์นาบิว
“Si marca un gol, si marca un gol, si Sergio Ramos marca un gol.”
“ใช่ รามอสยิงอีกหนึ่งประตู ใช่ ยิงอีกหนึ่งประตู เซร์คิโอ รามอส ยิงอีกหนึ่งประตู”
ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนี้เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ตั้งแต่ลูกตีลังกาจักรยานอากาศของโรนัลโดใส่ทีมยูเวนตุส จนมีการนั่งวัดความสูงที่นักเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์สมัยล่าสุดกระโดดเพื่อยิงลูกอันเหลือเชื่อนั้น ไปจนถึงการกลับมาคว้าชัยในเกมที่สองของโรมาที่เขี่ยทีมเต็งแชมป์ในปีนี้อย่างบาร์เซโลนาตกรอบไปอย่างเหลือเชื่อ
บทเรียนของความชะล่าใจมีให้เห็นแล้วตั้งแต่ทีมโรมาชนะบาร์ซา ลิเวอร์พูลชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเรอัล มาดริดเองก็เกือบเอาตัวไม่รอดในรอบ 8 ทีมและรอบรองชนะเลิศที่พวกเขาพ่ายในเกมเลกที่สองให้กับยูเวนตุสและเสมอให้กับบาเยิร์น แต่เอาตัวรอดมาได้ด้วยประตูสะสมจากเลกแรก
ความประมาทคือบทเรียนที่ไม่มีใครอยากเรียนรู้เมื่อทุกอย่างสายเกินกว่าจะแก้ไข และวันนี้ผู้ที่จะมาท้าทายดีเอ็นเอความสำเร็จของพวกเขามาในรูปแบบที่ไม่มีอะไรจะเสีย พร้อมกับความเชื่อมั่นที่จะสร้างปาฏิหาริย์ในรายการนี้ให้เหมือนกับที่พวกเขาสร้างไว้กับเอซี มิลาน เมื่อปี 2005
โชคชะตาแห่งความสำเร็จจะส่องแสงมาสู่ใครหลังจากเสียงนกหวีดสุดท้ายจบลง และดีเอ็นเอแห่งความสำเร็จหรือความเชื่อ สิ่งไหนจะนำพาเราไปสู่เจ้ายุโรปทีมใหม่ เราจะเห็นยุคอันรุ่งเรืองของประวัติศาสตร์หน้าใหม่หรือการปาฏิหาริย์จากความเชื่อ ทั้งหมดนี้จะถูกตัดสินที่สนามโอลิมปิก สเตเดียม ในกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน วันที่ 26 พฤษภาคมนี้ โดยมีแฟนบอลกว่า 7 หมื่นชีวิตในสนามและแฟนบอลนับล้านจากทั่วโลกร่วมเป็นสักขีพยาน
อ้างอิง:
- www.espn.com/soccer/real-madrid/story/2771009/toni-kroos-success-part-of-real-madrid-dna
- www.goal.com/en/news/what-is-the-secret-behind-real-madrids-champions-league/1e6nvllklypat10pyxupxp2v3m
- www.bbc.com/sport/football/44184215
- www.goal.com/en/news/real-madrid-have-become-a-results-monster-says-liverpool/uvzm12aw5djq148jlrzs54ryy
- www.theguardian.com/football/blog/2018/may/23/real-madrid-masters-champions-league-final-liverpool-kiev-history
- www.uefa.com/uefachampionsleague/news/newsid=2230522.html
- www.espn.in/football/club/real-madrid/86/blog/post/3426709/real-madrids-continental-success-creating-a-shift-in-spain-team-from-barcelona-to-madrid
- www.si.com/soccer/2018/05/23/real-madrid-champions-league-final-liverpool-zidane
- www.thisisanfield.com/2018/05/sergio-ramos-explains-real-madrids-plan-to-hurt-liverpool-and-keep-mo-salah-quiet/