เกิดอะไรขึ้น:
วานนี้ (31 ตุลาคม) ธปท. ได้ประกาศว่าจะไม่ต่ออายุการผ่อนคลายมาตรการ LTV (การกำหนดอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน) ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นไปตามคาด โดย ธปท. ระบุว่า ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวได้ดี และเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนระดับสูง รวมถึงการเก็งกำไรอสังหาโดยกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง
กระทบอย่างไร:
ราคาหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหา (SETPROP) ปรับเพิ่มขึ้น 0.48%DoD สู่ระดับ 259.12 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.17%DoD สู่ระดับ 1,625.73 จุด (ณ วันที่ 31 ตุลาคม)
มุมมองระยะสั้น:
InnovestX Research คาดว่าบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้การวิเคราะห์ (AP, LH, LPN, PSH, QH, SIRI, SPALI) จะทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ในปี 2565 ด้วยมูลค่ารวม 1.96 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 26%YoY) เติบโตและมีมูลค่าสูงที่สุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการ LTV จะสิ้นสุดในปีนี้ จึงคาดว่าโมเมนตัมยอดขายใน 4Q65 จะยังคงเป็นบวก โดยจะเติบโต 35-38%YoY สู่ 5.0 หมื่นล้านบาท
สำหรับปี 2565 คาด EPS เติบโต 25% ในการคาดการณ์ถึงยอดขายและการรับรู้รายได้จำนวนมากในปี 2565 โดยได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัว อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ และการผ่อนคลายมาตรการ LTV ทำให้คาดว่ารายได้ของกลุ่มในปี 2565 จะเติบโต 12%YoY กำไรสุทธิจะเติบโต 20%YoY และ EPS จะเติบโต 25%YoY
มุมมองระยะยาว:
หากใช้มาตรการ LTV ตามปกติในปี 2566 InnovestX Research คาดว่ายอดขายในปี 2566 จะเติบโตน้อยลงที่ 10-15%YoY สู่ 2.15-2.25 แสนล้านบาท โดยยอดขายใน 1Q66 น่าจะลดลงทั้ง QoQ และ YoY โดยใช้สมมติฐานว่าการกลับมาใช้มาตรการ LTV ตามปกติจะส่งผลกระทบบางส่วนต่อความต้องการซื้อในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-ต่ำ และผู้มีรายได้น้อยในปี 2566
แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อกลุ่มอื่นๆ ความต้องการซื้อของชาวต่างชาติน่าจะฟื้นตัวในปี 2566 หลังจากรัฐบาลเห็นชอบให้สิทธิชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ ในขณะที่ความกังวลที่ลดน้อยลงเกี่ยวกับการเว้นระยะห่างทางสังคมส่งผลทำให้ความต้องการซื้อคอนโดพร้อมอยู่ (RTM) ฟื้นตัวดีขึ้น
ด้าน EPS ปี 2566 จะเติบโตน้อยกว่าปี 2565 โดยปัจจุบันกลุ่มที่อยู่อาศัยมี Backlog ในปี 2566 รวม 3.0 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ 16% ที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.91 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.7%YoY) การคาดการณ์ถึงยอดขายที่ลดลง ส่งผลทำให้คาดว่า EPS ปี 2566 จะเติบโตเพียง 2%YoY
ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล สินค้าคงเหลือจากปี 2565 ซึ่งจะยกมายังปี 2566 ภายใต้มาตรการ LTV ตามปกติจะสร้างแรงกดดันต่อสินค้าคงเหลือที่ยังขายไม่ได้ในบางกลุ่มและบางทำเลที่ตั้ง ภายใต้สถานการณ์ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับขึ้นทำให้ความสามารถในการซื้อบ้านของกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและผู้มีรายได้ปานกลาง-ต่ำจะมีจำกัด เนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูง
อย่างไรก็ดี InnovestX Research เลือก LH เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากการกลับมาใช้มาตรการ LTV ตามปกติจะส่งผลกระทบต่อ LH น้อยกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มที่อยู่อาศัย เพราะฐานลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-สูงและผู้มีรายได้สูง ประกอบกับธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำมีแนวโน้มเติบโตสูงในปี 2566 และผลตอบแทนจากเงินปันผลดี ดังนั้นจึงเลือก LH เป็นหุ้นเด่น (ราคาเป้าหมาย 11.10 บาท)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธนาคารออมสิน เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยขั้นบันได จ่ายสูงสุด 4.5% และ 10% หวังส่งเสริมการออมระยะยาว
- เตรียมตัวไว้! ตั้งแต่ 15 พ.ย. นี้ ‘ฝากเงินผ่านตู้’ ต้องยืนยันตัวตนผ่านบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม และบัตรเครดิต เพื่อป้องกันการฟอกเงิน
- ไม่ตกขบวน! ไทยพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ย MLR และ MOR 0.25% พร้อมขยับดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 0.50%