ฤดูกาลที่เหมือนรถไฟเหาะที่มีทั้งขึ้นสูงลงต่ำ ตื่นเต้น และบางครั้งชวนคลื่นเหียนของ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังดำเนินต่อไป เมื่ออดีตแชมป์ 3 สมัยพ่ายแพ้ต่อแอร์เบ ไลป์ซิก 2-3 กระเด็นตกรอบยูฟ่าแชมเปยนส์ลีก ทั้งๆ ที่ต้องการเพียงแค่ผลเสมอก็เพียงพอต่อการเข้ารอบ
เกมในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายของกลุ่มเอชยังเป็นเกมที่มีความหมายต่อโอกาสในการเข้ารอบของทั้งสองทีม แม้ว่าจะเป็นงานหนักกว่าสำหรับเจ้าบ้านไลป์ซิก ที่ต้องการชัยชนะสถานเดียวเท่านั้นจึงจะเข้าสู่รอบต่อไปได้ ขณะที่ทางด้านแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดซึ่งนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มก่อนลงสนามไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าผลเสมอเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของทีมเยือนจะตกที่นั่งลำบากตั้งแต่เริ่ม เมื่อไลป์ซิกใช้เวลาแค่ 2 นาทีเท่านั้นในการทำประตูขึ้นนำ และเป็นที่เจ็บแสบยิ่งขึ้นเมื่อผู้ใส่สกอร์คือ อังเคลินโญ แบ็กซ้ายที่ยืมตัวมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้บอลยาวเปิดมาจากมาร์เซล ซาบิตเซอร์ และมีพื้นที่กับเวลาเหลือเฟือที่จะเลือกยิงผ่านดาบิด เด เคอา ก่อนที่ดาวเตะชาวสเปนจะเป็นคนเปิดบอลให้อมาดู ไฮดารา วอลเลย์เข้าไปเป็นประตู 2-0 ในนาทีที่ 13
ไลป์ซิก ซึ่งมีโอกาสจะบวกสกอร์เพิ่มได้อีก เพราะเป็นฝ่ายที่เล่นได้ดีกว่าชัดเจน โดยเฉพาะในแดนกลางที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งวันนี้มาในระบบ 3-1-4-2 จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน สามารถรักษาสกอร์นำของตัวเองเอาไว้ได้จนจบครึ่งแรก ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งปรับระบบกลับมาใช้ 4-2-3-1 โดยโอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ส่งดอนนี ฟาน เดอ บีค ลงมาแทนอเล็กซ์ เตลเลส กลับมาทำได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลัง แต่ยังไม่พอ และมาโดนไลป์ซิกทำประตูหนีห่างออกไปอีกเป็น 3-0 ในนาทีที่ 69 จากการยิงของจัสติน ไคลเวิร์ต ตัวสำรองที่เพิ่งลงสนามมาในนาทีที่ 56
ถึงตรงนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้เพื่อตีเสมอให้ได้ และสามารถไล่ทวงคืนมาได้ 2 ประตู โดยได้จุดโทษในนาทีที่ 80 และเป็นบรูโน แฟร์นันด์สที่ยิงจุดประกายให้ทีม ก่อนที่ในอีก 2 นาทีต่อมา ปอล ป็อกบาจะโหม่งเข้าไปให้ทีมเหมือนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้วไม่ทันการ ไลป์ซิกซึ่งเคยโดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดถล่มแหลก 5-0 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด สามารถทวงคืนได้เจ็บแสบด้วยชัยชนะ 3-2 ได้ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ และส่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดร่วงตกรอบไปเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกแทน แม้ว่าเกมอีกคู่ระหว่างปารีส แซงต์ แชร์กแมง และอิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ จะถูกยกเลิกไปกลางคันก็ตาม
สำหรับเหตุวุ่นวายที่ปาร์ค เดส์ แพรงซ์ นั้น เกิดจากการที่ทีมจากตุรกีตัดสินใจวอล์กเอาต์จากสนามหลังเกมเริ่มไปได้แค่ 14 นาทีในช่วงที่เกมยังเสมอกัน 0-0 โดยกล่าวหาว่ามีการเหยียดสีผิวจากเซบาสเตียน โคลเตสคู ผู้ตัดสินที่ 4 ชาวโรมาเนียที่ข้างสนาม ซึ่งทางยูฟ่าได้มีข้อสรุปว่าจะให้ทั้งสองทีมกลับมาทำการแข่งขันกันต่อในช่วงเวลาที่เหลือในวันพรุ่งนี้แทน
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2020/dec/08/rb-leipzig-manchester-united-champions-league-match-report
- https://www.bbc.com/sport/football/55219522