×

‘ราช กรุ๊ป’ ประกาศแผนรุกหนักธุรกิจในออสเตรเลีย ดินแดนที่มีตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี พร้อมตั้งเป้า EBITDA ใน 5 ปีแตะ 3 หมื่นล้านบาท

09.10.2025
  • LOADING...
ราช กรุ๊ป ออสเตรเลีย

บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ โดยกำหนดทิศทางธุรกิจที่มุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก โฟกัสหาโอกาสการเติบโตในต่างประเทศมากขึ้น หนึ่งนั้น คือ ในออสเตรเลียที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี

 

นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยถึงการปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญ โดยนำเสนอแผนต่อคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) ไปแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว รวมถึงนโยบายด้านพลังงานที่เน้นพลังงานสะอาดมากขึ้น

 

กลยุทธ์ใหม่ มุ่งเน้นการขยายสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy: RE) อย่างจริงจัง และการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน โดย RATCH ยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตของ EBITDA โดยเฉลี่ยปีละ 5% อย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2568-2572 แม้จะอยู่ในสภาวะที่ตลาดพลังงานมีการแข่งขันสูง

 

ภาพ : นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 

 

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจ 5 เสาหลัก เติบโตภายใต้บริบทพลังงานใหม่

 

RATCH ได้กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ 5 ด้าน ซึ่งถูกปรับเพิ่มจากปีก่อนๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด ดังนี้

 

  1. บริหารและปรับปรุงสินทรัพย์ เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการทำกำไรของสินทรัพย์เดิม รวมถึงการพิจารณาหาโอกาสใหม่สำหรับโรงไฟฟ้าที่หมดอายุ (Repowering) 

 

  1. ลงทุนในโครงการตามแผน PDP ดำเนินการตามความสามารถหลัก (Core Competency) ของ RATCH ในการประมูลและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดโอกาสตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) รวมถึงการควบรวมกิจการและการซื้อหุ้น (M&A) ในโครงการที่น่าสนใจ

 

  1. ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องทางด้านพลังงาน ขยายการลงทุนนอกเหนือจากแผน PDP เนื่องจากแผน PDP ของประเทศไทยมักมีการเปลี่ยนแปลง มีความล่าช้าในการออก และนโยบายเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี RATCH จึงหันไปมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสีเขียว (Green) เช่น พลังงานชีวภาพ (Bio Energy), เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF), Wood Pellet และเทคโนโลยีพลังงานขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (SMR)

 

  1. สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่ปลดระวาง การนำพื้นที่โรงไฟฟ้าที่หมดอายุมาพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ การพัฒนาพื้นที่โรงไฟฟ้าราชบุรี มีพื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ ให้เป็นเขตอุตสาหกรรมแนวใหม่ (Industrial Zone) ซึ่งอาจรวมถึง Data Center หรืออุตสาหกรรม 6.0

 

  1. ลงทุนผ่าน Corporate Venture Capital (CVC) กลยุทธ์ใหม่ที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติ เพื่อลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมด้านพลังงานโดยเฉพาะการลงทุนจะเน้นไปที่บริษัทที่อยู่ในระดับ Series B ขึ้นไป เนื่องจากมองว่าเป็นนวัตกรรมที่เริ่มมีความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจแล้ว RATCH ได้จัดสรรงบประมาณนำร่องสำหรับการลงทุน CVC ไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยมีการเตรียมการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อคัดเลือกการลงทุน และคาดว่าจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวชัดเจนในปี 2569 ภาพรวมพอร์ตโฟลิโอ สัดส่วน RE จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

ปัจจุบัน RATCH มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ โดยมีประเทศที่โฟกัสอันดับ 1 คือ ประเทศไทย, อันดับที่ 2 คือ ออสเตรเลีย อันดับที่ 3 คือ สปป. ลาว อันดับที่ 4 คือ อินโดนีเซีย อันดับที่ 5 คือ ฟิลิปปินส์ อันดับที่ 6 คือ เวียดนาม, และ อันดับที่ 7 คือ ญี่ปุ่น มีพอร์ตกำลังผลิตไฟฟ้ารวมประมาณ 10,000 เมกะวัตต์ โดยมีสัดส่วนเชื้อเพลิงหลัก (ฟอสซิล) มีสัดส่วนอยู่ที่ 72% และพลังงานหมุนเวียน (RE) มีสัดส่วนอยู่ที่ 27-28%

 

ภาพ : แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ระหว่างปี 2568-2572 ของบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  

 

แม้ว่ากำลังผลิตฟอสซิลจะสูงกว่า แต่สัดส่วน RE จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการปลดระวางของโรงไฟฟ้าฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าราชบุรี และการลงทุนโครงการใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นพลังงานหมุนเวียน

 

สำหรับรายได้จากการขายไฟในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้สัดส่วน 84% ยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เนื่องจากโรงไฟฟ้าฟอสซิลสามารถเดินเครื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่ RE ผลิตได้เป็นช่วงเวลา ฐานการลงทุนหลักยังคงอยู่ในประเทศไทย สัดส่วน 68% ของรายได้ ตามมาด้วยต่างประเทศอีกสัดส่วน 32% โดยบริษัทฯ มีแนวทางให้ความสำคัญขยายธุรกิจในออสเตรเลียกับอินโดนีเซียต่อเนื่องที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว

 

RAC หัวใจสำคัญของการเติบโตในออสเตรเลีย

 

สำหรับบริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น (RAC) ซึ่ง RATCH ถือหุ้น 100% ถูกวางเป็นฐานหลักในการขยายธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย ที่ตลาดซื้อขายไฟฟ้าแบบเสรี อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการใช้พลังงาน RE โดย RAC เป็นแกนหลักในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ

 

โดยครึ่งแรกของปีนี้มีสัดส่วนรายได้ 19% ของรายได้รวมบริษัทฯ รวมประมาณ 3,000 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเพิ่มมากขึ้นหากโครงการที่อยู่ในมือสามารถพัฒนาและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จตามเป้าหมาย

 

ภาพ: โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Collector Wind Farm  ตั้งอยู่ในรัฐ นิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย

 

ปัจจุบัน RAC มีกำลังการผลิตที่ลงทุนไปแล้วประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero Emission ของออสเตรเลีย โดยมีความพร้อมของธุรกิจและมีโครงการที่ดำเนินการดังนี้

 

  1. บริการเสริมความมั่นคงระบบ (Ancillary Services) RATCH ได้นำสินทรัพย์เดิมมาเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้เพิ่มเติม โดยเฉพาะในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีของออสเตรเลีย (National Electricity Market – NEM) ซึ่งมีความต้องการบริการเสริมเพื่อรับมือกับความผันผวนของ RE ที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง RATCH ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกที่เข้ามาทำธุรกิจและขายไฟฟ้าในประเทศออสเตรเลีย

 

โดยระบบไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ล่าสุด RAC ได้พัฒนาโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์

 

  • ให้บริการระบบ Synchronous Condenser ที่โรงไฟฟ้า Townsville ในรัฐควีนส์แลนด์ มีกำลังผลิตไฟฟ้า 234 เมกะวัตต์ เป็นแห่งแรกในออสเตรเลียที่ RATCH เข้าไปดำเนินการ บริการนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพความถี่ของระบบไฟฟ้า โครงการนี้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยสามารถสร้างรายได้ประมาณ 570,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อเดือน
  • ให้บริการระบบ Black Start เป็นการติดตั้งระบบที่ช่วยให้โรงไฟฟ้าสามารถจ่ายไฟในภาวะที่ระบบไฟฟ้าดับสนิท (Blackout) ซึ่ง RE ไม่สามารถทำได้ RATCH ได้รับเงินค่าบริการความพร้อม (Readiness Fee) เป็นรายเดือน โดยคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 4 ปี

 

ภาพ: โครงการโรงไฟฟ้า Townsville กำลังผลิตไฟฟ้า 234 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์  ประเทศออสเตรเลีย 

 

  1. การแก้ปัญหาราคาไฟฟ้าติดลบ (Negative Price) เนื่องจากออสเตรเลียมีการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์) ในช่วงกลางวันสูงมาก ทำให้เกิดปัญหาราคาไฟฟ้าติดลบ. RATCH จึงมุ่งเน้นการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน (Storage) ร่วมกับ RE เพื่อกักเก็บไฟฟ้าที่ราคาถูกหรือติดลบ และนำไปขายเมื่อราคาเป็นบวก

 

โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการโซลาร์ Marulan กำลังผลิต 150 เมกะวัตต์ บวกแบตเตอรี่ และ โครงการโซลาร์ Beryl ขนาด 100 เมกะวัตต์ พร้อมระบบกักเก็บพลังงาน ความจุ 200 MWh ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา จะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปี 2572

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการแบตเตอรี่แบบเพียวๆ คือ โครงการระบบกักเก็บพลังงาน EL Arish ขนาด 250 เมกะวัตต์ และโครงการลมขนาดใหญ่ Springland กำลังผลิต 500-800 เมกะวัตต์ ในรัฐควีนส์แลนด์ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2573

 

  1. สถานะทางการเงินของ RAC ปัจจุบัน RAC มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางการเงิน โดยมีรายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปี RAC ใช้เงินสดที่สะสมไว้ พร้อมสำหรับการลงทุนโครงการใหม่อีกประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 4 โครงการ มีศักยภาพที่จะทำให้รายได้ของ RAC เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้ในอนาคต

 

นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินสำหรับโครงการในออสเตรเลียก็มีต้นทุนต่ำมาก ราว 1% กว่าๆ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Base Rate เนื่องจาก RAC ได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงิน

 

ภาพ: รายละเอียดโครงการลงทุนของ RAC ในประเทศออสเตรเลียที่มีการลงทุนไปแล้ว

 

โอกาสธุรกิจแห่งอนาคตและตลาดที่น่าสนใจ

 

RATCH กำลังศึกษาโอกาสในธุรกิจเชื้อเพลิงแห่งอนาคต มีดังนี้

 

  • พลังงานเชื้อเพลิงสีเขียว ศึกษาความเป็นไปได้ใน Green Hydrogen และ Green Ammonia ซึ่งยังต้องรอให้เทคโนโลยีและราคามีจุดคุ้มทุนโดยไม่พึ่งพาเงินอุดหนุน (Subsidy) เพื่อให้เกิดความยั่งยืน
  • Biofuel และ SAF มองหาพันธมิตรเพื่อขยายสู่ธุรกิจ Bio Diesel และ SAF (Sustainable Aviation Fuel) ในต่างประเทศ เนื่องจาก RATCH มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องกล, ไฟฟ้า แต่ธุรกิจเหล่านี้ต้องการความเชี่ยวชาญด้านปิโตรเคมีและวิศวกรรมเคมี
  • ธุรกิจ Retail RATCH สนใจการเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกพลังงานในออสเตรเลียเพื่อบริหารความเสี่ยงจากราคาไฟฟ้าผันผวน อย่างไรก็ตาม ตลาดรีเทลมีความท้าทายสูง เนื่องจากผู้เล่นเดิมมีความเข้มแข็งและมีฐานลูกค้าที่มั่นคง

 

“ออสเตรเลียเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานสะอาดและเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ ซึ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน และการให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ล่าสุด RAC ได้พัฒนาโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์ เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบส่งไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์ โครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่กำลังจะปลดระวางตามแผนงาน และคาดว่าความต้องการโครงการลักษณะนี้จะมากขึ้นตามการใช้พลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต” นิทัศน์ กล่าว

 

RAC คือกลจักรสำคัญปั้นพอร์ตพลังงานทดแทนโต

 

ทั้งนี้ แผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ RAC จะสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานทดแทนของบริษัทฯ ที่กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 30% ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และเพิ่มเป็นสัดส่วน 40% ในปี 2578 ปัจจุบัน RAC อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้า รวม 9 โครงการ ในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570

 

สำหรับโครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และโครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งแผนงานทั้งสองโครงการได้รับความเห็นชอบแล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572 และโครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ซึ่งการประเมินเบื้องต้นความเร็วลมเหมาะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ และมีระบบสายส่งในพื้นที่รองรับได้ สำหรับกำลังการผลิตของโครงการประมาณการ 500-800 เมกะวัตต์ คาดว่าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2573

 

ปัจจุบัน RAC บริหารจัดการสินทรัพย์โรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย กำลังการผลิตรวม 2,095 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วย

 

ภาพ: โครงการของ RAC ที่กำลังก่อสร้างและมีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการ

 

เปิดปัจจัยความท้าทายและเป้าหมายการเติบโต

 

RATCH ยอมรับว่าการตั้งเป้าหมายเติบโต EBITDA เฉลี่ย 5% ต่อปี ถือเป็นความท้าทายในยุคปัจจุบัน เนื่องจากผลตอบแทนในตลาดพลังงานไม่สูงเหมือนยุค PPA แรกๆ. การแข่งขันในตลาดออสเตรเลียถือว่ารุนแรงที่สุดในบรรดาประเทศที่ RATCH ลงทุนอยู่

 

นิทัศน์ ย้ำว่า RATCH ต้องการเป็นบริษัทพลังงานที่เป็นหุ้นที่เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Stock) แม้ว่าการขยายการลงทุนอย่างรวดเร็วในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย จะทำให้สัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยลดลงในเชิงสัดส่วน แต่บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงการในประเทศที่มีโอกาส เช่น โครงการโซลาร์เซลล์ตามแผน PDP และเตรียมความพร้อมสำหรับนโยบาย Direct PPA หรือการซื้อขายไฟตรงกับลูกค้า 

 

เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมทั้งด้านที่ดินและการพัฒนาโซลาร์เซลล์ RATCH ถูกมองว่าเป็น Regional Player โดยสถาบันการเงินและนักลงทุนต่างประเทศมานานแล้ว และมีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่การเป็น Global Player

 

ทุ่มงบ 15,000 ล้านบาทต่อปี ลงทุนขยายธุรกิจ

 

ด้านวดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะแตะระดับ 30,000 ล้านบาท หรือเติบโตปีละประมาณ 5% ภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า ระหว่างปี 2568-2572 หลังจากปัจจุบันบริษัทสามารถทำได้ถึงระดับ 15,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งถือว่าทำได้เร็วกว่าเป้าหมายตามแผนที่วางไว้ภายในปี 2570 เนื่องจากต้นทุนการเงินที่ต่ำกว่าและการสร้างความน่าเชื่อถือ รวมทั้งธุรกิจในต่างประเทศ เช่น ในออสเตรเลีย สามารถสร้าง EBITDA ได้ดีกว่าแผนที่วางไว้

 

ราช กรุ๊ป ออสเตรเลีย

ภาพ : วดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 

 

ด้านงบลงทุนของบริษัทฯ เตรียมไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อใช้ขยายธุรกิจในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ไทย, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, สปป. ลาว, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยในปี 69 มีแผนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศไทย, สปป. ลาว และอินโดนีเซีย ส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศออสเตรเลียคาดว่าจะใช้แหล่งเงินทุนของบริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 100% เพราะปัจจุบันมีกระแสเงินสดสะสมรวมกว่า 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย

 

ขณะที่แผนการขยายกิจการผ่านการทำดีล M&A คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังจากปัจจุบันบริษัทกำลังพิจารณาโรงไฟฟ้าอยู่ประมาณ 5 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นโครงการในประเทศไทยจำนวน 2 โครงการ และในต่างประเทศจำนวน 3 โครงการ ไม่นับรวมโครงการที่ดำเนินการก่อสร้างใหม่ โดยในส่วนเงินลงทุนปีนี้บริษัทเตรียมไว้ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท แต่ในช่วงที่ผ่านมาใช้ไปแล้วเพียง 4,000 ล้านบาท จึงทำให้ยังมีเงินทุนเพียงพอในการทำดีล M&A

 

ภาพ: Creative Cairo / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising