ถ้าพูดถึงสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์อันดับต้นๆ ของโลก คงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีชื่อของ Manchester United รวมอยู่ด้วย ซึ่งความคลั่งไคล้น่าจะมาจากส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง ผลงาน ผู้เล่น ผู้จัดการทีมในตำนาน และความสำเร็จของสโมสรจากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในช่วงยุค 1950
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Matt Busby เข้ารับตำหน่งผู้จัดการทีม และประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 1948 และแชมป์ลีกส์ได้ในปี 1952 หลังจากนั้นเขาสร้างทีมนักเตะดาวรุ่งอนาคตไกลวัย 20 ต้นๆ ที่ทำผลงานได้ดี และเป็นความหวังว่าพวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นอนาคตของสโมสร แต่แล้วในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1958 กลับเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่มิวนิก ส่งผลให้นักเตะดาวรุ่งเสียชีวิตไป 8 คน กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ช็อกแฟนบอล และทำให้คนทั้งโลกหันมาสนใจ Manchester United ซึ่งในความโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี เพราะหลังจากนั้นผลงานของสโมสรก็ดีวันดีคืน โดยเฉพาะในช่วงยุค 60 จาก 3 นักเตะชื่อดังอย่าง Bobby Charlton, George Best และ Denis Law และการคว้าถ้วยยุโรปในปี 1968 เป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ซึ่งช่วยขยายฐานแฟนๆ ของสโมสรไปด้วยในตัว
จนกระทั่งในช่วงยุค 70-80 Manchester United อยู่ภายใต้เงื้อมเงาของทีมคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Liverpool ด้วยผลงานคว้าแชมป์ลีก 11 สมัย, เอฟเอคัพ 3 สมัย, แชมป์ยูโรเปียนคัพ 4 สมัย และแชมป์ยูฟ่าคัพ 2 สมัย เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยสโมสรเดียวของฟุตบอลอังกฤษ ในขณะที่ Manchester United ว่างเว้นจากการคว้าแชมป์ยาวนานถึง 26 ปี
การกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของ Manchester United คือในช่วงต้นยุค 90 ภายใต้การดูแลของ Alex Ferguson ใกล้เคียงกับการเปิดตัวพรีเมียร์ลีกในปี 1992 พร้อมๆ กับการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลให้กับแฟนบอลทั่วโลก ทำให้แฟนๆ สนุกไปกับทักษะลีลาการเล่นของนักเตะชื่อดังอย่าง Ryan Giggs, Eric Cantona, Roy Keane, Paul Scholes ฯลฯ และเป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวในอังกฤษที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้สำเร็จในปี 1999 กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แฟนบอลรุ่นเยาว์ในวันนั้น จนเติบโตมาเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีกำลังซื้อในวันนี้
ตามรายงานของ Reuters เมื่อเริ่มต้นพรีเมียร์ลีกในปี 1992-1993 Manchester United มีรายได้ 25 ล้านปอนด์ และเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จทางการเงินมากที่สุด ระหว่างปี 1992-1997 สร้างรายได้กว่า 1.08 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงนี้เองที่สโมสรฟุตบอลอังกฤษมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการขายสินค้าที่ระลึก สปอนเซอร์ ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ และค่าตั๋วฟุตบอลในสนาม
ในช่วงปี 2010 Manchester United เป็นสโมสรฟุตบอลเจ้าแรกๆ ที่มีนโยบายการขายสปอนเซอร์ระดับภูมิภาคควบคู่ไปกับแบรนด์ระดับโลก ซึ่งนอกจากจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ยังทำให้สโมสรกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
ปัจจุบัน Manchester United คือแบรนด์ที่ไม่ต่างจาก Coca-Cola หรือ Marlboro ที่แม้จะมีผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน แต่แฟนๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกเพราะภาพลักษณ์ที่เป็นที่ยอมรับ แม้ว่าผลงานในลีกส์จะต่ำกว่าคู่แข่งคนสำคัญ แต่ก็ยังดึงดูดลูกค้าได้ตามรายงานของ Daily Telegraph Manchester United มีฐานแฟนคลับจำนวนกว่า 659 ล้านคนทั่วโลก และเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.68 แสนล้านบาท เป็นรองแค่ Real Madrid และ Barcelona ที่มีมูลค่า 5.1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.86 แสนล้านบาท จากการรายงานของ Forbes
เสื้อพร้อมลายเซ็นของ Bobby Charlton และ Denis Law ราคาประมาณ 22,000 บาท
นี่คือเสื้อพร้อมลายเซ็นของสองนักเตะ ที่ทำให้ประตูสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Manchester United (Bobby Charlton 249 ประตู ส่วน Denis Law ทำประตูได้ 237 ประตู) โดยเสื้อของ Bobby Charlton เป็นเสื้อแข่งสไตล์ต้นยุค 70 ในขณะของ Denis Law เป็นรุ่นที่ทางสโมสรสวมใส่ในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 1963 ซึ่งเขาทำประตูแรกในเกมที่พบกับ Leicester ช่วยคว้าแชมป์ถ้วยแรกให้กับสโมสรตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมที่มิวนิก
เสื้อพร้อมลายเซ็นของนักแตะที่รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิก ราคาประมาณ 23,500 บาท
เสื้อแข่งในสไตล์ยุค 50 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่สโมสรต้องสูญเสียนักเตะดาวรุ่งไปถึง 8 คน จากอุบัติเหตุทางอากาศที่มิวนิก โดยเสื้อตัวนี้มาพร้อมลายเซ็นของนักเตะอีก 5 คนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คือ Bobby Charlton, Harry Gregg, Bill Foulkes, Albert Scanlon และ Kenny Morgans ปัจจุบันเหลือเพียง Bobby Charlton เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
เสื้อแชมเปียนส์ลีก ปี 1999 พร้อมลายเซ็น 12 นักเตะ ราคาประมาณ 43,000 บาท
Manchester United เป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวในอังกฤษ ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้สำเร็จในปี 1999 โดยเสื้อตัวนี้มีลายเซ็นของ 12 นักเตะชื่อดัง อย่าง Ole Gunnar Solskjaer, Ryan Giggs, Peter Schmeichel, Teddy Sheringham, Andrew Cole, Dwight Yorke ฯลฯ ลงบนเสื้อตราสัญลักษณ์รอบชิงชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีก มาพร้อมเหรียญจำลองหน้าปกโปรแกรม และหลักฐานการถ่ายภาพลงนามด้วย
เสื้อที่ Gary Neville ใส่แข่งในแมตช์ Manchester United vs. Norwich ในปี 2005 ราคาประมาณ 86,000 บาท
นี่คือเสื้อที่ Gary Neville สวมใส่ในเกมพรีเมียร์ลีกระหว่าง Manchester United กับ Norwich ในเดือนเมษายน ปี 2005 โดยมีจดหมายการันตีจากผู้เล่นของ Norwich ที่แลกเปลี่ยนเสื้อกับ Gary Neville ในวันนั้น รวมทั้งภาพถ่ายกับเสื้อด้วย
เสื้อของ Ryan Giggs ใส่แข่งพร้อมลายเซ็นในแมตช์ Manchester United vs. Valencia ในปี 2010 ราคาประมาณ 86,000 บาท
Ryan Giggs เป็นนักเตะที่ลงแข่งกับ Manchester United มากถึง 963 ครั้งระหว่างปี 1991-2014 โดยเสื้อตัวนี้เป็นเสื้อที่เขาสวมใส่ระหว่างการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในเดือนธันวาคม 2010 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ Manchester United ไปถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยเป็นเสื้อที่ Ryan Giggs บริจาคประมูลเพื่อการกุศล
อ้างอิง:
- https://www.london.edu/think/why-is-manchester-united-so-successful
- https://www.90min.com/posts/rare-manchester-united-memorabilia-collectibles-buy-ebay?fbclid=IwAR3gK4_M0q_CHVR_aG1RF0w9bkG_vZnE2tx_moJmwxKNRsJ49kvkkZYzdtM
- https://patricknally.com/blogpost/manchester-united-a-global-brand/
- https://bleacherreport.com/articles/1687727-how-manchester-united-exploit-their-global-brand-like-nobody-else?fbclid=IwAR3hmEYdTyeWbaDCJK_69tZEqoTHSRh2V2ZoiR-9srJ1jps5xU21MynEVlA
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP