วันนี้ (12 มิถุนายน) รังสิมันต์ โรม ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีหุ้นของ ITV 42,000 หุ้น แต่ได้โอนไปให้บุคคลอื่นแล้ว และหลังจากที่รายการข่าว 3 มิติ ได้นำเสนอหลักฐานในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท และยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินกิจการแล้ว แต่ยังคงสภาพไว้เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายที่ได้ฟ้องร้องอยู่
รังสิมันต์ยืนยันว่า ทางพรรคก้าวไกลพร้อมจะสู้คดีทุกรูปแบบ แม้ว่าจะมีกระบวนการทางการเมืองที่จะทำให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากมีบุคคลบางกลุ่มที่จะขาดผลประโยชน์หากพรรคก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาล โดยที่ไม่คำนึงถึงเจตจำนงของประชาชนที่ได้เลือกพรรคก้าวไกลมาให้จัดตั้งรัฐบาลก็ตาม
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่ามีการกลั่นแกล้งทางการเมืองมาโดยตลอด ส่วนการร้องเรียนกับเรื่องนี้ หากพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารดังกล่าว และเชื่อว่าคลิปวิดีโอการประชุมที่เผยแพร่ไม่มีการตัดต่อ และเชื่อถือการรายงานข่าวของ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย และช่อง 3 ที่จะต้องกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำเสนออย่างแน่นอน
รังสิมันต์กล่าวว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ของบริษัท ITV เชื่อว่าจะต้องออกมาชี้แจง เพราะหากการแก้ไขข้อมูลในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้เอกสารเป็นเท็จ ซึ่งอาจจะส่งผลให้พิธาไม่สามารถลงสมัคร ส.ส. ได้ ก็มีอัตราโทษกับผู้กระทำได้
ส่วนอดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ปัจจุบันลาออกไปอยู่อีกพรรคการเมือง จะเกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่ รังสิมันต์กล่าวว่า ยังไม่อยากกล่าวโทษใคร และไม่แน่ใจในเจตนาของ ส.ส. คนดังกล่าวว่าทำไมยังเห็นว่าการถือหุ้นสื่อของพิธามีความผิด ทั้งที่มีคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมชัดเจน
ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมจะดำเนินคดีกับพิธาตามมาตรา 151 ข้อหา รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิลงรับสมัครรับเลือกตั้งฯ ก็ไม่ได้กังวลอะไร ทางพิธาก็พร้อมพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการของกฎหมาย และหวังว่ากรณีที่ปรากฏเมื่อคืนนี้ฝ่ายต่างๆ ที่คิดว่าจะใช้กรณีนี้ในการทำร้ายกันทางการเมืองควรจะพิจารณาได้แล้วว่าควรเลิก อย่าทำลายกระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการที่ประชาชนไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งกันมา อย่าทำให้ประเทศไทยแย่ไปกว่านี้
