วันนี้ (12 สิงหาคม) สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ว่าจะต้องมีการปรับตามสถานการณ์ของเงินเฟ้ออยู่แล้ว โดยดูว่าฐานเงินเฟ้อในประเทศไทยเท่าไร แล้วเอามาเป็นตัวหลัก ซึ่งเรื่องนี้มีไตรภาคีจังหวัดที่จะพิจารณาก่อน ซึ่งมีทั้งลูกจ้าง นายจ้าง และฝ่ายรัฐบาลอยู่ในไตรภาคี ที่จะสุ่มตัวเลขมาว่าพอใจที่ตัวเลขเท่าไร ส่วนกลางก็จะมาพิจารณาอีกทีว่า ที่ไตรภาคีเสนอมานั้นเหมาะสมหรือไม่
อย่างไรก็ตามได้ให้นโยบายกระทรวงแรงงานไปว่า การปรับค่าแรงอยากให้กระชับ ให้ช่วงสั้น ยังมีหลายกลุ่ม ส่วนการประกาศใช้ปกติ หลายคนอยากให้พูดในวันที่ 1 มกราคม แต่ในความเป็นจริงเราต้องยอมรับว่าสินค้าต่างๆ ขึ้นราคาไปแล้ว ถ้าเราไปประกาศก่อน แล้วไปมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม ก็อาจจะทำให้มีการขึ้นราคาสินค้าอีกรอบหนึ่ง ซึ่งจะไม่มีผลอะไรในการที่เราได้ปรับค่าแรง
สุชาติกล่าวว่า อย่างไรก็ตามเท่าที่ได้พูดคุยกับนายจ้างและผู้ประกอบการเขายอมรับในตัวเลขนี้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการเหล่านี้ไปหลายหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันประกันสังคมก็ลดหย่อนไปแล้วถึง 6 รอบ แต่ละรอบเป็นหมื่นล้านบาท ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อพยุงให้มีการจ้างงาน ลดค่าใช้จ่าย ลดค่าครองชีพ วันนี้จึงต้องขอความร่วมมือนายจ้าง ซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมือ ก็จะพยายามให้เร็วกว่าวันที่ 1 มกราคม 2566
ขณะที่ผู้สื่อข่าวถามถึงกรอบในการปรับตัวเลขแต่ละโซนค่าแรง สุชาติกล่าวว่า จะดูพื้นที่โซนอุตสาหกรรมหลักๆ ก่อน เช่น จังหวัดภูเก็ต กรุงเทพมหานคร พื้นที่ EEC ซึ่งโซนเหล่านี้ถือเป็นหัวแถวอยู่แล้ว แต่จะปรับกี่เปอร์เซ็นต์ก็ต้องพิจารณาให้เหมาะสม เท่าที่ดูตัวเลขคร่าวๆ ประมาณ 5-8% ให้รับได้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
เมื่อผู้สื่อถามว่า รัฐบาลยืนยันขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงานแน่นอนใช่หรือไม่ สุชาติกล่าวว่า แน่นอน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นไทม์มิ่งเหมาะสม ซึ่งตอนนั้นยังใช้มาตรา 75 อยู่ หากปรับในตอนนั้นนายจ้างจะเอาเงินที่ไหนจ่าย และสุดท้ายอาจจะต้องตกงานกัน แต่เมื่อเราประคับประคอง นายจ้างและลูกจ้างก็จะอยู่ได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากไตรภาคีพิจารณาแล้วเคาะในวันที่ 26 สิงหาคม จะเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เมื่อใด สุชาติกล่าวว่า คาดว่าจะเข้า ครม. ได้ในเดือนกันยายน
