วานนี้ (20 ธันวาคม) วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502,100,000 บาท ว่า
ที่ประชุมคณะกรรมการรถไฟฯ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 มีมติเห็นชอบให้การรถไฟฯ ผลักดันโครงการดังกล่าวเพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารเดิมที่มีอายุการใช้งานมานานกว่า 50 ปี ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งทางรางให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทั้งในด้านความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และการให้บริการ
โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนรถด่วนพิเศษ และรถด่วน จำนวน 182 คัน พร้อมอะไหล่ สำหรับให้บริการขนส่งผู้โดยสารในขบวนรถด่วนพิเศษและขบวนรถด่วน 14 ขบวน (รวมขบวนสำรอง) เพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการแก่ผู้โดยสารทุกกลุ่ม
ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย และแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 (แผนฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย) ซึ่งจะเพิ่มบทบาทการให้บริการขนส่งผู้โดยสาร ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
จากสถิติก่อนและหลังการให้บริการขบวนรถโดยสารชุดล่าสุดที่การรถไฟฯ จัดหาและนำมาให้บริการเมื่อปี 2560 นั้น มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากปี 2559 กว่า 7 แสนคน และในปี 2567 มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 1.84 ล้านคน แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการของผู้โดยสารในปัจจุบัน
สำหรับขบวนรถโดยสารชุด 182 คัน เป็นขบวนรถโดยสารปรับอากาศทั้งขบวน และมีการเพิ่มจำนวนรถโดยสารชนิดนอนปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 2-3 คัน รวมถึงการเพิ่มชนิดรถโดยสารประเภทนั่งปรับอากาศ จำนวน 2-3 คัน มาให้บริการเป็นทางเลือกตามความต้องการของผู้ใช้บริการอีกด้วย ซึ่งจะรองรับจำนวนผู้ใช้บริการต่อตู้ได้เพิ่มขึ้น
รวมถึงยังสามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดจากเดิม 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ผู้ใช้บริการเดินทางถึงจุดหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนด้านความปลอดภัย มีการเพิ่มระบบ CCTV ภายในห้องโดยสาร และบันไดประตูปิด-เปิดอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ยังรองรับการให้บริการทั้งสถานีชานชาลาต่ำและชานชาลาสูง พร้อมลิฟต์ในการให้บริการสำหรับผู้พิการในกรณีสถานีมีชานชาลาต่ำอีกด้วย ที่สำคัญยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถลดการใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงต่อคันได้มากถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับขบวนรถเดิม
ทั้งนี้ การรถไฟฯ มีแผนการพ่วงขบวนรถด่วนพิเศษและขบวนรถด่วนที่จะนำมาทดแทน จำนวน 12 ขบวน ประกอบด้วย
- ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 13/14 กรุงเทพอภิวัฒน์-เชียงใหม่
- ขบวนรถด่วนที่ 51/52 กรุงเทพอภิวัฒน์-เชียงใหม่
- ขบวนรถด่วนที่ 67/68 กรุงเทพอภิวัฒน์-อุบลราชธานี
- ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 37/38 กรุงเทพอภิวัฒน์-สุไหงโก-ลก
- ขบวนรถด่วนที่ 83/84 กรุงเทพอภิวัฒน์-ตรัง
- ขบวนรถด่วนที่ 85/86 กรุงเทพอภิวัฒน์-นครศรีธรรมราช
สำหรับขั้นตอนจากนี้จะนำเสนอรายงานต่อกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาทำความเห็นเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการดังกล่าว การรถไฟฯ จะประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจยื่นข้อเสนอประกวดราคา และน่าจะพิจารณาผลการคัดเลือกได้ภายในปี 2569 คาดว่าจะสามารถรับรถงวดแรกได้ประมาณช่วงต้นปี 2571
สอดคล้องกับโครงการทางคู่ 7 เส้นทาง ระยะทาง 993 กิโลเมตร และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ระยะทาง 678 กิโลเมตร รวมถึงการซื้อรถจักรใหม่ 50 คัน และโครงการทางคู่ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,488 กิโลเมตร