ไมเคิล มันเฟรด สไตลเบิล ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2564 แม้จะมีความท้าทายจากสถานการณ์โควิด แต่บริษัทก็ยังเป็นแพลตฟอร์มนายหน้าประกันภัยที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย โดยมีเบี้ยประกันภัยเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 700 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 1.9 พันล้านบาทในปี 2564 เพิ่มขึ้น 166%
โดยบริษัทมีการเติบโตของประกันภัยรถยนต์เพิ่มขึ้น 212% จากปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการของโบรกเกอร์ Asia Direct ขณะที่ประกันสุขภาพเติบโตขึ้น 261% และประกันภัยองค์กรมีอัตราการเติบโต 63% ต่อปี
นอกจากนี้บริษัทยังได้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ผ่านรอบการลงทุน Series B ได้แก่ Samsung Ventures และ Korea Investment Partners และมีการขยายทีมงานเติบโตจาก 300 คน เป็นมากกว่า 700 คน
สไตลเบิลประเมินว่า ภาพรวมของตลาดประกันภัยทั่วโลกและประเทศไทยในปีนี้จะทยอยฟื้นตัวจากโควิด โดยตลาดประกันภัยของไทยยังมีโอกาสขยายตัวได้สูง เนื่องจากสัดส่วนเบี้ยประกันรวมของไทยยังอยู่ที่ 5% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 20.8%, 17.4% และ 11.6% ของ GDP ตามลำดับ
แนวโน้มของตลาดในเชิงบวกนี้เมื่อรวมกับแนวโน้มการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ที่ได้รับความนิยมขึ้น ทำให้ธุรกิจของแรบบิท แคร์ ที่เน้นการขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์มีโอกาสในการเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้ในปี 2565 บริษัทคาดการณ์การเติบโตทางธุรกิจเป็นตัวเลขสองหลัก พร้อมตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 3 พันล้านบาท
โจฮันเนส ฟริดริค วอน โรห์ ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แรบบิท แคร์ จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจในปีนี้ว่า บริษัทได้พัฒนาระบบ CareOS เพื่อเสนอดีลประกันภัยในราคาที่ดีที่สุด โดยสามารถเปรียบเทียบประกันภัยและผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้รวดเร็วภายใน 30 วินาที ขณะเดียวกันจะมีการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มการประกันภัยรถยนต์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ตลอดจนการนำเสนอประกันสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้ และยังวางแผนจะเปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัยภายในปีนี้
“การเติบโตหลักของเราในปีนี้จะมาจากธุรกิจประกัยรถยนต์ ตามมาด้วยประกันสุขภาพและประกันชีวิต ปัจจุบันแรบบิท แคร์ ยังมีส่วนแบ่งการตลาดของประกันในไทยอยู่ที่ 1% โดยเราตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในไทยเป็น 5-10% ภายใน 5-10 ปี และภายใน 18 เดือนข้างหน้าเรายังให้ความสนใจจะขยายธุรกิจออกไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย” โรห์กล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP