วันนี้ (29 กันยายน) ที่ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) คนใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายหลักหลังเข้ารับตำแหน่ง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ สานต่อนโยบายเดิมเพื่อสร้างความยั่งยืน ให้กับกองทัพเรือ
พล.ร.อ.ไพโรจน์ ระบุว่า นโยบายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกองทัพและจะดำเนินการต่ออย่างต่อเนื่อง คือ นโยบายเรือดำน้ำ และ นโยบายเรือฟริเกต โดยจะมีการนำ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น อากาศยานไร้คนขับทุกประเภท (โดรนโจมตีและแอนตี้โดรน) และ ระบบตรวจการณ์กลางคืน เข้ามาเสริมศักยภาพให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับนโยบายดูแลคุณภาพชีวิตชั้นผู้น้อยของสมาคมภริยาทหารเรือ และจะสานต่อ นโยบาย NAVY SAFETY 2025 เพื่อให้กำลังพลมีความปลอดภัยในการปฏิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ว่าที่ ผบ.ทร. ยืนยันในแนวทางการ รักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ทั้งในพื้นที่ทางทะเลตามแนวเส้นอาณาเขตที่ประกาศตั้งแต่ปี 2506 บริเวณ เกาะกูด และพื้นที่ทางบกที่รับผิดชอบประมาณ 250 กิโลเมตร ในจังหวัดจันทบุรีและตราด
ท่านยืนยันว่า ปัจจุบัน ไม่มีชาวกัมพูชาเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ยกเว้นผู้ที่อยู่มาก่อนและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“เราจะสั่งการให้มีการตรวจสอบแผนรายละเอียดและมีความพร้อม หากมีการขยายสถานการณ์” พล.ร.อ.ไพโรจน์ กล่าว
พร้อมเสริมว่า กำลังทางเรือจะได้รับการฝึกเพื่อ สนับสนุนกำลังทางบก ในพื้นที่รับผิดชอบ เนื่องจากประเมินว่าศักยภาพทางทะเลของไทยยังคงสูงกว่าฝ่ายกัมพูชา ด้วยการมีเรือรบที่มีปืนใหญ่ที่สามารถระดมยิงสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับความคืบหน้าการรุกล้ำพื้นที่ พล.ร.อ.ไพโรจน์ ชี้แจงว่า ความพยายามกดดันของกองทัพเรือมาโดยตลอด ทำให้เกิดนิมิตหมายที่ดี คือการที่กัมพูชา รื้อถอนบ้านทหารเดิมทั้ง 3 หลัง ในพื้นที่ชายแดนจันทบุรี-ตราด ตามที่ไทยประท้วง
พร้อมระบุว่า หากมีการรุกล้ำในจุดอื่น เช่น การสร้างถนนหรือคูเลตเข้ามาในฝั่งไทย จะเริ่มต้นด้วยการ เจรจาเพื่อให้กัมพูชาเปลี่ยนเส้นทางหรือกลบคูเลต ให้เป็นไปตามข้อตกลงร่วมกัน
พล.ร.อ.ไพโรจน์ สรุปถึงแนวทางการทำงานว่า กองทัพเรือใช้มาตรการ กดดันมาตลอด ตั้งแต่ตรวจพบการรุกล้ำ ซึ่งในช่วงหลัง สถานการณ์มีความเข้มข้นขึ้นและฝ่ายกัมพูชาได้ยอมรับและ ระงับการดำเนินการในแทบทุกจุด ที่ไทยได้ประท้วงไป