ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เสวนาในหัวข้อ Co-Create for Actions : Reinvent Thailand’s Next Frontier ผสานพลังขับเคลื่อน สู่มิติใหม่อนาคตไทย ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 โดยมุ่งเน้นที่การรับมือกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน
โดยผยงได้สรุปภาพรวมความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยในปัจจุบัน ดังนี้
อัตราการเติบโตต่ำ: เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าประเทศอื่นมาหลายปี แม้ว่า Growth Engine ของโลกจะอยู่ที่อาเซียน เอเชีย และตะวันออกกลางก็ตาม
ปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง: กลุ่มผู้มีรายได้สูงสุด 10% มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 52% ของรายได้ประเทศ
เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่: มีขนาดถึง 48% ของเศรษฐกิจทั้งหมด และมีแรงงานนอกระบบ 53% ผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 70% อยู่นอกระบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยากจน ความสามารถในการแข่งขัน ธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรม (Rule of Law)
สถานะหนี้สูง: หากรวมหนี้นอกระบบ จะพบว่าหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 100% ต่อ GDP โดยในส่วนนี้เป็นหนี้นอกระบบ (Net) ถึง 14% ของ GDP และแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการที่ไม่ใช่ธนาคารหรือธนาคารเฉพาะกิจที่ปล่อยกู้อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร
ปัญหาแรงงานและรายได้: แรงงานนอกระบบมีรายได้ต่ำกว่าแรงงานในระบบถึง 2 เท่า คนรุ่นใหม่ที่จบออกมามีการว่างงานเพิ่มขึ้น ภาคเกษตรมีสัดส่วนถึง 31.5% ของประชากรวัยทำงาน หากรวมกลุ่มเกษตรกรที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะมีอัตราการว่างงานหรือเสมือนว่างงานสูงถึง 6.2%
การลงทุนและการแข่งขัน: ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาในประเทศไทยต่ำที่สุดในภูมิภาค นอกจากนั้น แม้ว่าประเทศไทยจะมีสภาพคล่องในระบบสูง (ธปท. บริหารสภาพคล่องระยะสั้นกว่า 5 ล้านล้านบาท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา) แต่เงินทุนกลับไหลไปลงทุนต่างประเทศ (TDI) มากกว่า 7 ล้านล้านบาท
โครงสร้างเศรษฐกิจแบบกระจุกตัว: ผู้ประกอบการเพียง 1% ของประเทศมีส่วนสนับสนุน GDP ถึง 65% แต่จ้างงานเพียง 15% คำถามสำคัญที่ตามมาคือ แรงงานส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้งหรือถูกละเลยหรือไม่
ปัญหา SME และตลาดทุน: ผู้ประกอบการ SME ยังไม่ฟื้นตัวถึงระดับก่อนโควิด-19 ตลาดหลักทรัพย์เผชิญความท้าทาย โดย 65% ของบริษัทจดทะเบียน และ 44% ของ SET 50 มี Price to Book (P/B) ต่ำกว่า 1 สะท้อนว่าตลาดมองว่าผลตอบแทนสินทรัพย์ไม่คุ้มค่าต่อต้นทุนทางการเงินหรือการลงทุน ซึ่งเป็นโจทย์ว่าทำอย่างไรให้นักลงทุนหันมาลงทุนไนประเทศไทยมากขึ้น
ประสิทธิภาพภาครัฐ: ประสิทธิภาพกลไกภาครัฐยังเป็นรองประเทศอื่นในภูมิภาค ยัง ขาดการเชื่อมโยงข้อมูล (Connect the Dots) ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล (Regulators) และมีความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายต่อการหมุนเวียนเงินทุน (Money Movement) ที่กระทบต่อค่าเงิน ในมิติของทองคำ คริปโต
สถานะการคลัง: รัฐบาลประสบภาวะขาดดุลการคลังต่อเนื่องมา 2 ทศวรรษ หนี้สาธารณะอยู่ที่ 64.5% และมีความเสี่ยงที่อันดับความน่าเชื่อถือจะถูกปรับลดลง ซึ่งอาจทำให้ไทยตกไปอยู่ในระดับเดียวกับฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย
หลักคิดและแนวทาง Reinvent Thailand
ผยงกล่าวว่า ‘Reinvent Thailand’ ไม่ได้เป็นเพียงแค่เอกสารหรือกระดาษ แต่เป็นหลักคิดที่เน้นการร่วมกันคิดและร่วมกันลงมือทำของภาคเอกชนและภาครัฐ โดยมีเป้าหมายระยะสั้นคือ การเร่งสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่น (Trust and Confidence) ซึ่งจะเป็น Quick Big Win ของประเทศไทย
โดยแนวทางปฏิบัติของหลักคิดนี้ เช่น โจทย์ที่ชัดเจน (Problem Statement): ต้องมีโจทย์ที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกัน, การจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization): ไม่สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ภายในช่วงเวลาอันสั้น เน้น High Impact, การร่วมรับผิดชอบ (Ownership): ทุกภาคส่วนต้องร่วมรับผิดชอบและมีความมุ่งมั่น (Commitment) ในบทบาทของตน, การใช้ข้อมูลและความโปร่งใส (Data & Transparency): ต้องมีการนำข้อมูลมาใช้ให้โปร่งใส และสามารถตอบคำถามต่อสาธารณชนได้ เพื่อนำไปสู่การถกเถียงเชิงสร้างสรรค์, กลไกตลาดและแรงจูงใจ (Market Mechanism & Incentive): การขับเคลื่อนต้องอยู่บนกลไกตลาดและมีแรงจูงใจที่เหมาะสม รวมถึงการวัดผลร่วมกัน (KPI): ต้องมีตัวชี้วัดผลลัพธ์ร่วมกันที่ชัดเจนและต่อเนื่อง
Quick Big Win และการขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม
ผยงกล่าวถึงหลักคิด Reinvent Thailand ที่นำมาปรับใช้กับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยได้ยกตัวอย่างถึงการแก้ปัญหาหนี้สินรายย่อย (AMC for Small Debtors) ที่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) น้อยกว่า 1 แสนบาท จำนวน 3.4 ล้านราย รวมหนี้ 1.2 แสนล้านบาท โดยมีการยึดลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง (Debtor Centric), บริหารจัดการหนี้แบบรวมศูนย์, ปิดจบหนี้ได้ไว เติมสภาพคล่องให้กับลูกหนี้วินัยดี ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้เหล่านี้หลุดพ้นจากกับดักหนี้และไม่กลับไปสู่หนี้นอกระบบอีก
นอกจากนี้ยังมีการเห็นชอบร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนให้มุ่งเน้น 6 อุตสาหกรรมที่มีผลกระทบต่อ GDP และการจ้างงานอย่างมีนัยสำคัญ และจะนำไปสู่การเติบโตแบบ New S Curve ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยว, สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์,การเกษตรและการแปรรูปอาหาร, อุตสาหกรรมยานยนต์, การค้าปลีก รวมถึงการแพทย์และสุขภาพ
โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการเกือบถึง 240,000 ราย (46% ของนิติบุคคล) และการจ้างงานกว่า 10 ล้านคน การเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานจะนำไปสู่การเติบโตของ GDP และรายได้ของประชากร
ผยงยังกล่าวถึงการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยระบุว่า ไทยต้องมีการเชื่อมโยงดิจิทัลต้องสร้างถนนแห่งการส่งผ่านข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และนำนวัตกรรม AI (GenAI, Blockchain, Automation) มาใช้ในการขับเคลื่อน Smart Business รวมถึงลงทุน R&D: เพื่อยกระดับผลิตภาพและรายได้ของประเทศให้เทียบเท่าหรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงประเทศไทยเข้ากับตลาดการค้าใหม่ (New Trade Corridor) โดยเฉพาะจีน อาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลาง
อีกทั้งแรงงานยังต้องมีการเสริมทักษะ (Upskill / Reskill) มีการรับรอง (Certify) และตอบโจทย์ตลาด ขณะที่รัฐบาลซึ่งเป็น ‘The Biggest Thailand Conglomerate’ ควรใช้กลไก Made in Thailand เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถเข้าแข่งขันได้ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยการขับเคลื่อนทั้งหมดนี้เป็นการ ‘ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ’ เพื่ออนาคตเศรษฐกิจของประเทศไทย


