ท่ามกลางความวิตกกังวลทั่วโลกว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์และกดดันค่าจ้างให้ต่ำลง รายงานวิจัยฉบับใหม่ล่าสุดจาก PwC บริษัทที่ปรึกษาและตรวจสอบบัญชีระดับโลก กลับค้นพบข้อมูลที่สวนทางความเชื่อดังกล่าว โดยชี้ว่า AI กำลังทำให้พนักงาน ‘มีคุณค่ามากขึ้น แทนที่จะน้อยลง’ และยังเป็นตัวเร่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพและค่าจ้างในอุตสาหกรรมที่เปิดรับเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง
รายงาน 2025 AI Jobs Barometer ของ PwC ซึ่งวิเคราะห์จากประกาศรับสมัครงานกว่า 800 ล้านตำแหน่ง และรายงานทางการเงินของบริษัทหลายพันแห่งทั่วโลก ได้ท้าทาย 6 ความเชื่อผิดๆ ที่ผู้คนมักมีต่อ AI พร้อมเสนอแนะให้องค์กรปรับมุมมองและใช้ AI เป็น กลยุทธ์เพื่อการเติบโต ไม่ใช่แค่กลยุทธ์เพื่อประสิทธิภาพ
โจ แอตกินสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่าย AI ระดับโลกของ PwC กล่าวกับ CNBC ว่า “สิ่งที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้คือความเร็วของนวัตกรรมเทคโนโลยี ซึ่งเป็นความจริงที่ว่ามันเคลื่อนที่ไปเร็วมากจริงๆ ในอัตราที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน” แต่เขาก็ย้ำว่า “สิ่งที่รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็น จริงๆ แล้วคือ AI กำลังสร้างงาน”
แครอล สตับบิงส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ระดับโลกของ PwC สหราชอาณาจักร กล่าวเสริมในรายงานว่า “เรารู้ว่าทุกครั้งที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม จะมีงานใหม่ถูกสร้างขึ้นมากกว่าที่สูญเสียไป ความท้าทายคือ ทักษะที่คนทำงานต้องการสำหรับงานใหม่ๆ นั้นอาจแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น เราเชื่อว่าความท้าทายไม่ใช่การจะไม่มีงาน แต่คือการที่คนทำงานต้องเตรียมพร้อมที่จะรับงานเหล่านั้น”
ล้ม 6 ความเชื่อผิดๆ เมื่อข้อมูลจริงสวนทางความกลัว
รายงานฉบับนี้ได้หักล้าง 6 ความเชื่อยอดนิยมเกี่ยวกับ AI ดังนี้
- ด้านผลิตภาพ (Productivity)
มีความเชื่อว่า AI ยังไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลิตภาพ แต่รายงานพบว่าตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา การเติบโตของผลิตภาพในอุตสาหกรรมที่พร้อมจะนำ AI มาใช้มากที่สุดได้เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า ที่น่าสนใจคือ อุตสาหกรรมที่เปิดรับ AI มากที่สุด เช่น การผลิตซอฟต์แวร์ แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้ต่อพนักงานสูงกว่าถึง 3 เท่า ตามข้อมูลของ PwC
- ด้านค่าจ้าง (Wages)
มีความเชื่อว่า AI อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อค่าจ้างและอำนาจต่อรองของคนทำงาน
แต่จริงๆ แล้วข้อมูลของ PwC แสดงให้เห็นว่า ค่าจ้างของพนักงานที่มีทักษะ AI โดยเฉลี่ย สูงกว่าพนักงานที่ไม่มีทักษะนี้ถึง 56% ในตำแหน่งงานเดียวกัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 25% ในปีที่แล้ว นอกจากนี้ ค่าจ้างในอุตสาหกรรมที่เปิดรับ AI สูงสุด ยังเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอุตสาหกรรมที่เปิดรับน้อยที่สุดถึง 2 เท่า
- ด้านจำนวนงาน (Job Numbers)
อีกหนึ่งความเชื่อผิดๆ ที่สำคัญคือ AI อาจทำให้จำนวนตำแหน่งงานลดลง แต่รายงานพบว่า ในขณะที่ตำแหน่งงานที่มีความเสี่ยงต่อ AI ต่ำมีการเติบโตของงานอย่างแข็งแกร่งถึง 65% ในช่วงระหว่างปี 2019 ถึง 2024 การเติบโตของตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีสูงกว่าก็ยังคงแข็งแกร่ง (Robust) แม้จะช้ากว่า โดยเติบโตอยู่ที่ 38%
- ด้านความเท่าเทียม (Inequality)
ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่า AI อาจซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำในด้านโอกาสและค่าจ้างของคนทำงาน แต่ผลการศึกษาพบว่าค่าจ้างและการจ้างงานต่างก็เพิ่มขึ้นสำหรับงานที่สามารถเสริมศักยภาพ (Augmentable) และทำให้เป็นอัตโนมัติ (Automatable) ด้วยเทคโนโลยีได้ รายงานยังชี้ว่าความต้องการวุฒิการศึกษาที่เป็นทางการจากนายจ้างกำลังลดลงอย่างรวดเร็วในตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสที่กว้างขึ้นสำหรับคนนับล้าน
- ด้านทักษะ (Skills)
อีกหนึ่งความกังวลคือ AI อาจลดทอนทักษะ (Deskill) ของงานที่มันเข้ามาทำโดยอัตโนมัติ ขณะที่รายงานพบว่าในทางกลับกัน AI สามารถเพิ่มคุณค่า (Enrich) ให้กับงานที่ทำโดยอัตโนมัติได้ โดยช่วยให้พนักงานพ้นจากภาระงานที่ซ้ำซากและน่าเบื่อ เพื่อไปฝึกฝนทักษะที่ซับซ้อนขึ้นและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ตัวอย่างเช่น พนักงานคีย์ข้อมูลสามารถพัฒนาไปสู่บทบาทที่มี “คุณค่าสูงขึ้น” อย่างนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) ได้
- ด้านระบบอัตโนมัติ (Automation)
สุดท้ายคือ ความเชื่อที่ว่า AI อาจลดคุณค่า (Devalue) ของงานที่มันเข้ามาทำโดยอัตโนมัติในระดับสูง แต่ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นสำหรับงานที่ถูกทำให้เป็นอัตโนมัติในระดับสูง แต่เทคโนโลยียังเข้ามา ปรับเปลี่ยนรูปแบบงานเหล่านี้ให้มีความซับซ้อนและสร้างสรรค์มากขึ้น และท้ายที่สุด ทำให้คนทำงานมีคุณค่ามากขึ้น
การเติบโตของงานที่ ‘ชะลอลง’ อาจเป็นเรื่องดี?
รายงานยังนำเสนออีกมุมมองที่น่าสนใจว่า ในโลกที่หลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาจำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลง การที่ AI ทำให้การเติบโตของตำแหน่งงานบางกลุ่มชะลอตัวลง อาจกลายเป็น ‘เรื่องที่เป็นประโยชน์’ ต่อประเทศเหล่านั้น
แอตกินสันอธิบายว่า การเพิ่มขึ้นของผลิตภาพจาก AI สามารถสร้าง ‘ผลกระทบแบบทวีคูณ’ (Multiplier Effect) ต่อกำลังคนที่มีอยู่ และช่วยเติมเต็มช่องว่างแรงงานที่บริษัทอาจไม่สามารถหามาเติมได้ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของธุรกิจโดยรวม “ผมคิดว่ามันสามารถและจะเป็นสิ่งที่ดีได้อย่างแน่นอน” เขากล่าว
ท้ายที่สุด รายงานฉบับนี้ได้ให้ข้อสรุปเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญแก่องค์กรต่างๆ ว่า ควรจะมอง AI “ในฐานะกลยุทธ์เพื่อการเติบโต ไม่ใช่แค่กลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (ลดต้นทุน)” แทนที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อลดจำนวนพนักงาน บริษัทควรช่วยเหลือพนักงานให้ปรับตัวและทำงานร่วมกับ AI เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ สร้างตลาดใหม่ และสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ
“เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงกับดักของการมีความทะเยอทะยานที่ต่ำ แทนที่จะจำกัดมุมมองของเราอยู่แค่การทำให้งานของเมื่อวานเป็นอัตโนมัติ เรามาสร้างงานใหม่และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตกันเถอะ” รายงานระบุ “หากใช้อย่างมีจินตนาการ AI สามารถจุดประกายให้เกิดงานใหม่และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างเบ่งบาน ตัวอย่างเช่น 2 ใน 3 ของงานในสหรัฐอเมริกาวันนี้ ไม่ได้มีอยู่เลยในปี 1940 และงานใหม่ๆ เหล่านี้จำนวนมากก็เกิดขึ้นได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี”
อ้างอิง: