วันนี้ (30 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ที่มี ภราดรปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาทวาระแรก เป็นวันที่สาม
ภคมน หนุนอนันต์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณปี 2569 ว่าเป็นงบประมาณที่มีความเหลื่อมล้ำ เราพูดเรื่องนี้กันมาอย่างยาวนาน เนื่องจากปัญหา ความเหลื่อมล้ำมีต้นตอของความยากจน และความตกต่ำคุณภาพชีวิตของประชาชน ทุกคนทราบดีว่าโอกาสของคนในเมืองใหญ่กับโอกาสของคนในชนบทนั้นไม่เท่ากัน
เนื่องจากรัฐบาลมักทุ่มทรัพยากร และงบประมาณให้หัวเมืองใหญ่ก่อน ซึ่งเป็นการ เพิ่มช่องว่างระหว่างชนชั้น ดังนั้นพื้นที่ในต่างจังหวัดส่วนมากมีศักยภาพในการสร้างเม็ดเงินและเติบโตได้ดี แต่ไม่มีสนับสนุน จึงไม่แปลกที่ในวันนี้คนต่างจังหวัดต่างทิ้งบ้านทิ้งครอบครัวมาทำงานในเมืองใหญ่ เพราะจังหวัดบ้านเกิดนั้นไม่มีโอกาส
รัฐบาลโดย แพทองธาร ชินวัตร ทราบถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี เนื่องจากได้มีการแถลงไว้ต่อรัฐสภา “จะทำให้ทุกตารางนิ้วของประเทศไทย เป็นโอกาสของคนทุกคน” แต่ก็เป็นเพียงคำพูด ที่ไม่เห็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือรัฐบาลปล่อยให้งบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดถูกจัดสรรแบบเดิม ไร้ประสิทธิภาพในการยกระดับชีวิตของประชาชน
ที่ผ่านมางบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด มีโครงสร้างการใช้จ่ายที่เน้นง่าย ไม่ว่าจะจะมีชื่อโครงการที่สวยหรูขนาดไหน แต่สุดท้ายก็จบที่การสร้างถนน ทำสะพาน ติดไฟฟ้าส่องแสงสว่าง เขื่อนป้องกันตลิ่ง และการก่อสร้างเล็กๆ น้อยๆ และกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อทำ Pocket Money ประมาณ 700 ล้านบาท ติดกระเป๋าผู้ว่าราชการจังหวัดไว้จัดสรรเมื่อเกิดกรณีจำเป็น ซึ่งถูกระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ให้ความสำคัญเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง
แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลจัดสรรงบ 10,000 ล้านบาท ไปกับการก่อสร้างนับเป็นการกระทำที่ละเลยของประชาชนขณะเดียวกันงบประมาณที่นำไปใช้ในการก่อสร้างนั้น มีความซ้ำซ้อน กับงบประมาณของงบประมาณกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งถือเป็นล้มเหลวและไม่ตอบโจทย์ ไม่คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน
ภคมนยกตัวอย่าง ยกตัวอย่างโครงการที่มีความล้มเหลว เช่น แหล่งท่องเที่ยวลำน้ำทวนจังหวัดยโสธร เป็นเงิน 24 ล้านบาท แต่ไม่สามารถส่งมอบให้กับเทศบาลได้ เนื่องจากติดขัดระเบียบกรมที่ดิน, โครงการก่อสร้างอาคารแสดงศิลปวัฒนธรรม จังหวัดตรัง ใช้งบ 39 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างอเนกประสงค์ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้งบประมาณ 23 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างศูนย์โอทอปจังหวัดอุตรดิตถ์ใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท ที่ปัจจุบันต่างถูกทิ้งร้างไว้
โครงการเหล่านี้ล้วนมีความล้มเหลวในการใช้งบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เนื่องจากไม่ตอบโจทย์กับพื้นที่ ถือเป็นความผิดพลาดของคนที่มีอำนาจในการใช้งบประมาณ โดยที่ยังไม่เห็นว่าจะต้องมีใครเป็นผู้รับผิดชอบ
ภคมน กล่าวอีกว่า การจัดสรรงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดนั้น ก็มีวิธีการที่ตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำเช่นกัน เนื่องจากมีการใช้เกณฑ์จังหวัดใหญ่รวย จะได้รับงบประมาณมากกว่า เนื่องจากมีการกำหนดสัดส่วนคนจน แต่กำหนดไว้เพียง 10% และรายได้ครัวเรือน 25% รวมเป็น 35% ซึ่งเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลนั้นให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำน้อยเกินไป
รัฐบาลทราบถึงปัญหานี้เป็นอย่างดี หากมีเจตนาในการพัฒนาท้องถิ่นจริง ควรเริ่มต้นด้วยการจัดการงบประมาณในส่วนนี้ก่อน เนื่องจากงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ในปีงบประมาณ 2569 ได้รับทั้งสิ้น 26,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณปี 2568 เป็น 10% ซึ่งทำให้งบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดนั้นเป็นก้อน ที่ได้รับจัดสรรเป็นอันดับสองของหน่วยรับงบประมาณทั้งหมด
ภคมนกล่าวว่า งบจังหวัดและงบกลุ่มจังหวัด 26,525 ล้านบาทนี้ ถูกนำไปสร้างถนนการก่อสร้าง เป็นวงเงิน 13,760 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลล้มเหลวในการกระจายอำนาจตั้งแต่เริ่มต้น โดยที่จังหวัดที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดคือ กลุ่ม จังหวัดภาคเหนือตอนล่างสอง งบประมาณ 395 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ประมาณ 43% ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่นั้น ไม่ใช้สำหรับการสร้าง ก็นำไปใช้กับการซ่อม
ภคมนกล่าวว่า วันนี้การพัฒนาที่รัฐบาลคิดมีแต่การสร้างถนน สร้างอาคาร สร้างสะพาน สร้างแหล่งน้ำ สร้างทุกอย่าง แต่สร้างเดียวที่ไม่ทำคือ ‘สร้างสรรค์’ รัฐบาลไม่เคยสร้างสรรค์การใช้งบประมาณเพื่อคนที่รอคอยการพัฒนารัฐบาล ควรที่จะคำนึงถึงปัญหาที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน
ดังนั้นตนเองขอเสนอให้มีการจัดการงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัดอย่างสร้างสรรค์ ตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่ให้มากกว่านี้ ไม่ใช่มีเพียงการสร้างถนนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรเริ่มจากการสร้างสมดุลหลายด้าน
ทั้งการพัฒนาคมนาคม ขนส่งสาธารณะ, การศึกษา, ระบบสาธารณสุข, เครื่องมือทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ให้ลงพื้นที่ไปถามประชาชน ไม่ใช่คิดเอาเอง รวมถึงให้เปลี่ยนสูตรการจัดสรรงบประมาณ คำนึงถึงการพัฒนาจังหวัดจากการจัดสรรงบประมาณเป็นเค้กอำนาจ เป็นกำหนดยุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะยาว วางงบประมาณในการพัฒนาแต่ละพื้นที่ และดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไร
ภคมนกล่าวต่อว่า เมื่อเราต้องการเห็นการกระจายอำนาจ อยากเห็นการถ่ายโอนงบประมาณ ควรให้อำนาจการตัดสินใจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองที่มีความเชื่อมโยงกับประชาชน ที่สามารถมาตรวจสอบได้โดยประชาชนได้อย่างใกล้ชิด
“แม้ดิฉันจะมีพลังไม่มากพอ ขอเรียกร้องและฝากไปยังเพื่อนสมาชิกที่ต้องกลับไปมองหน้าประชาชนของท่าน เมื่อได้ฟังการชำแหละของดิฉันแล้วว่างบประมาณก้อนนี้ถูกใช้โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก หากเป็นผู้แทนของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ควรที่จะนิ่งเฉย และควรที่จะหันกลับไปที่รัฐบาลของท่าน ถามนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของท่าน จะให้ประชาชนเผชิญกับความเหลื่อมล้ำแบบนี้จริงๆ เหรอ แต่หากเพิกเฉยประชาชนก็จะได้ทราบว่าท่านเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการปล่อยให้พวกเขารับภาระในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลแบบนี้ เกียรติยศของท่าน ศักดิ์ศรีของท่านในฐานะผู้แทนราษฎรก็อาจจะเหลือน้อยลง พอๆ ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ดิฉันจึงไม่สามารถเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2569 ที่ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำจัดสรรงบประมาณ ด้วยการทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังแบบนี้ได้” ภคมนกล่าวทิ้งท้าย