กูรูแนะลงทุนหุ้นกลุ่ม ปตท. อย่างระมัดระวัง เหตุราคาหุ้นขึ้นมาจนใกล้เต็มมูลค่า ระบุราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจหนุนกำไรรวมไม่มาก เหตุสถานการณ์ในตลาดน้ำมันดิบอยู่ในสภาวะไม่ปกติ ยันจะปรับประมาณกำไรเมื่อราคาน้ำมันยืนระดับสูงต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งปี
สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และล่าสุดทะลุระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปแล้ว ปัจจัยหลักที่หนุนราคาน้ำมันคือข้อพิพาทและความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้น และกลายเป็นสงครามในที่สุด
สำหรับตลาดหุ้นไทย ปัจจัยดังกล่าวกดดันให้ดัชนี SET ปรับลดลงต่อเนื่องและเข้าใกล้แนวรับสำคัญที่ 1,650 จุด อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มน้ำมัน โดยเฉพาะกลุ่ม ปตท. ซึ่งมีสัดส่วนต่อดัชนีรวมค่อนข้างมาก ปรับเพิ่มขึ้นรับปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และพยุงให้ SET ปรับลดลงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบอาจจะไม่ส่งอิทธิพลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มน้ำมันเหมือนเช่นในอดีตอีกต่อไป เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปัจจุบันอยู่ในภาวะไม่ปกติ ทั้งดีมานด์และซัพพลายที่ถูกแรงกดดันจากปัจจัยอันหลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นนโยบายผู้ผลิต ความต้องการผู้บริโภค รวมถึงสถานการณ์ในภาวะสงครามที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในอดีต เรามักจะได้เห็นความเคลื่อนไหวราคาหุ้นพลังงานและน้ำมัน ปรับตัวตัวขึ้นหรือลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน แต่ในปัจจุบัน ค่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันดิบและราคาหุ้นพลังงานเริ่มลดลง แต่ก็ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันอยู่ โดยจะเห็นได้ว่าราคาหุ้นน้ำมันจะปรับขึ้นในสัดส่วนน้อยกว่า เมื่อเทียบกับความผันผวนของราคาน้ำมัน
แนะระมัดระวังลงทุน เหตุราคาใกล้เต็มมูลค่า
“สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะตลาดรับรู้ว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาครั้งนี้ ขึ้นมาด้วยความผิดปกติ ดังนั้นเมื่อความผิดปกติหมดไป ราคาน้ำมันก็จะปรับลดลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ตลาดก็รับรู้ว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจและเงินเฟ้อแต่ละประเทศในที่สุด ฉะนั้นจึงไม่คาดหวังกันว่าราคาน้ำมันจะยืนตัวในระดับสูงนานนัก” สิทธิชัยกล่าว
จากภาพรวมดังกล่าว การเข้าลงทุนในหุ้นน้ำมัน หรือหุ้นกลุ่ม ปตท. จึงต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพราะราคาหุ้นก่อนหน้านี้ปรับเพิ่มขึ้นมาพอสมควรจนใกล้เต็มมูลค่า และแม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับขึ้นสูงถึงระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ จึงเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะไม่ส่งผลเชิงบวกต่อราคาหุ้นน้ำมันมากนัก
เขากล่าวเพิ่มว่า ราคาน้ำมันดิบที่สูงยังคงมีผลต่อแนวโน้มกำไรของบริษัทกลุ่มน้ำมันอยู่ โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 เชื่อว่ากลุ่ม ปตท. น่าจะรายงานผลประกอบการที่ปรับเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้กลุ่ม ปตท. จะมี Inventory Gain ที่สูง
จ่อปรับเป้ากำไร หากราคายืนเหนือ 100 ดอลลาร์ระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการปรับเป้าหมายกำไรของกลุ่ม ปตท. เนื่องจากยังต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และการบริโภคน้ำมัน โดยตามประมาณกำไรเดิม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ใช้สมมติฐานราคาน้ำมันที่ระดับ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันยืนในระดับสูงเป็นระยะนาน หรือมากกว่า 6 เดือน ก็จะมีการปรับเป้าหมายกำไรอีกครั้ง
“ในแง่ของการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ปตท. ก็ยังเก็งกำไรได้ แต่ต้องระวังความเสี่ยง และต้องรู้ว่าราคาตอนนี้ใกล้เต็มมูลค่าแล้ว และการที่ราคาน้ำมันขึ้นมาใกล้ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจมากกว่าเชิงบวก” สิทธิชัยกล่าว
จักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรณีที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้น มาร์เก็ตแคปของหุ้นกลุ่ม ปตท. ควรจะปรับขึ้นประมาณ 9% แต่รอบนี้ เห็นได้ว่าราคาหุ้นกลุ่ม ปตท. ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นแรงมาก สาเหตุหลักก็เพราะว่าค่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทั้งสองสินทรัพย์นี้เริ่มน้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต
ชี้ ‘นักเก็งกำไรน้ำมัน’ หันลงทุน ETF
ประกอบกับ นักลงทุนที่จะเข้าเก็งกำไรข่าวราคาน้ำมัน จะหันไปลงทุนใน ETF น้ำมันที่เคลื่อนไหวใกล้เคียงราคาน้ำมันมากกว่า นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง ESG ที่นักลงทุนสถาบันให้ความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ก็ได้ทำให้ความสนใจเข้าลงทุนในหุ้นน้ำมันและปิโตรเลียมลดลงไปด้วย
“หุ้นน้ำมันในตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาใกล้เต็มมูลค่าของประมาณการโดยรวมแล้ว แม้ราคาน้ำมันจะปรับสูงกว่าระดับที่ใช้ในประมาณการ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มไม่ให้อัปไซด์ตรงนี้แล้ว ดังนั้นในการลงทุนหุ้นกลุ่ม ปตท. จะต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าเล่นหุ้นกลุ่มอัปสตรีม ก็ต้องระมัดระวังดาวน์ไซด์ด้วย เพราะนักลงทุนเริ่มตอบรับกับน้ำมันแบบไซด์เวย์” จักรพงศ์กล่าว
เขากล่าวว่า ในแง่ผลประกอบการนั้น ทุกๆ 10 ดอลลาร์ที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น จะทำให้กลุ่ม ปตท. กำไรเพิ่มขึ้น 20% โดย ณ ปัจจุบัน กลุ่ม ปตท. มี Inventory อยู่ราว 30 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังไม่มีแนวโน้มเพิ่มประมาณการกำไรกลุ่ม ปตท. ในเร็วๆ นี้ เพราะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นยังอยู่ในกรอบที่ถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า และจากนี้ไปยังมีปัจจัยหลายๆ อย่าง ที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดลง โดยในระยะหลังมานี้มีหลายฝ่ายมองว่าสต๊อกน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้น
“หากราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง ราว 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ได้ในระยะยาวประมาณ 6 เดือนขึ้นไป ก็จะกลับมาพิจารณาเรื่องปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายกลุ่ม ปตท. อีกครั้ง” จักรพงศ์กล่าว
คาดกำไรปี 2565 ลดลงเล็กน้อย
สำหรับแนวโน้มปี 2565 นี้ ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย คาดการณ์กำไรกลุ่ม ปตท. จะอยู่ที่ 197,800 ล้านบาท ลดลง 13.1% จากปี 2564 โดยธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามราคาน้ำมันที่กดดัน ในขณะที่ธุรกิจอื่นเป็นการโตตามราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่ปรับตัวดีขึ้น
โดยผลประกอบการไตรมาส 1/65 คาดว่าหุ้น PTTEP น่าจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและวอลุ่มยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยหุ้นโรงกลั่นก็น่าจะดีขึ้นเช่นเดียวกัน จากค่าการกลั่นยังทรงตัวอยู่ในระดับ 6-7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งทำให้การดำเนินงานหลักดี และกำไรจากสต๊อกน้ำมันมากกว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้ว เพราะราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมา 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน
ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมียังเป็นภาพเดิม คือส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมัน
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า เบื้องต้นคงประมาณการกำไรกลุ่ม ปตท. ปี 2565 จะมีกำไรปกติลดลงเล็กน้อย 0.5%YoY มาอยู่ราว 1.07 แสนล้านบาท โดยคาดธุรกิจปิโตรเลียมทั้งน้ำมัน ก๊าซฯและโรงกลั่น จะช่วยประคองกำไร หักล้างกับธุรกิจปิโตรเคมีที่คาดจะมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงจากซัพพลายใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาด
โดยคาดกำไรจากการดำเนินงานปกติงวดไตรมาส 1/65 มีโอกาสที่จะทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 4/64 รับผลบวกจากธุรกิจก๊าซฯ ของ PTT ที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวตามกิจกรรมเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น รวมถึง PTTEP ที่คาดกำไรปกติไตรมาส 1/65 น่าจะยังโดดเด่นต่อหากราคาน้ำมันดิบยังทรงตัวได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยไตรมาส 4/64 โดยราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ราว 78.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะคาดปริมาณขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาขายก๊าซฯ คาดจะปรับตัวขึ้นเนื่องจากมีการปรับสัญญาขายรายไตรมาส
นอกจากนี้คาดว่าจะยังได้รับอานิสงส์จากค่าการกลั่นตามช่วงฤดูกาลได้ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะประคองตัวได้เพราะช่วงไตรมาส 4/64 ก็ถือว่าปรับตัวลงไปแล้วในระดับหนึ่ง
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP