พีทีที โกลบอล เคมิคอล ซื้อคืนหุ้นกู้ 25.84 ล้านดอลลาร์ ในตลาดรองต่างประเทศเป็นรอบที่ 2 จับจังหวะนักลงทุนเทขายได้ Discount สูงถึง 10-15% ช่วยหนุน ROA และลดภาระหนี้ แต่ยืนยันไม่มีแผนซื้อคืนทั้งก้อน ส่วนดอกเบี้ยสหรัฐฯ ขึ้นไม่กระทบต้นทุนการเงิน หลังพอร์ตหนี้ล็อกต้นทุนการเงินเป็น Fixed Rate สัดส่วน 60-70%
ภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า กรณีล่าสุดที่บริษัทแจ้งการซื้อคืนหุ้นกู้บางส่วนจำนวน 25.84 ล้านดอลลาร์ ในตลาดรองต่างประเทศ จากจำนวนหุ้นกู้มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ อายุ 30 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.20% ต่อปี ซึ่งได้ออกและเสนอขายให้กับนักลงทุนและสถาบันต่างประเทศในเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา
เนื่องจากราคาหุ้นกู้ชุดดังกล่าวของบริษัทที่ซื้อ-ขายในตลาดรองมีการปรับลดลง ส่งผลให้มีส่วนลด (Discount) เกิดขึ้นในระยะสั้นประมาณ 10-15% ซึ่งถือเป็นระดับที่มี Discount สูงกว่าภาวะปกติ เพราะนักลงทุนส่วนหนึ่งมีการเทขายออกมาเพื่อถือเงินสดเนื่องจากความเสี่ยงจากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว รวมถึงปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินล้ม และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในภาคการเงินของยุโรปกับสหรัฐฯ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทจึงเห็นโอกาสในการทำธุรกรรมดังกล่าวเพื่อเป็นการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากสภาพคล่องส่วนเกินที่มี รวมถึงเป็นการลดภาระหนี้และดอกเบี้ยลงได้บางส่วน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
โดยการซื้อหุ้นกู้คืนดังกล่าวนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 หลังจากในช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีการซื้อคืนหุ้นกู้บางส่วนครั้งแรกมาจำนวนประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ เพราะราคาหุ้นกู้ของบริษัทในช่วงดังกล่าวมี Discount ใกล้เคียงประมาณ 10-15% ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบริหารจัดการโครงสร้างภาระหนี้สิน (Liability)
“บริษัทใช้เงินสดสภาพคล่องส่วนเกินที่สิ้นปี 2565 มีอยู่ราว 3.5 หมื่นล้านบาท หากฝากไว้ในธนาคารอาจได้ดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าแบ่งมาซื้อคืนหุ้นกู้บางส่วนในตลาดรองบริษัทก็จะได้ประโยชน์ 2 ส่วน เรื่องแรกคือราคาหุ้นกู้ของบริษัทที่ซื้อคืนไป 2 ครั้ง มี Discount ประมาณ 10-15% ใช้เงินไปรวมราว 3 พันล้านบาท จึงเป็นโอกาสในการสร้าง ROA กลับมาให้สูงขึ้นบนเงินที่ซื้อไป เรื่องที่สองคือบริษัทก็จะประหยัดดอกเบี้ยไปบางส่วน เพราะภาระหนี้ลดลง ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในส่วนหุ้นกู้ที่ซื้อคืนมาด้วย แต่การทำในรูปแบบนี้จะมี Window ให้ทำได้ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น”
ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่าหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐที่จะครบกำหนดในปี 2595 ที่ออกขายในช่วงเดือนมีนาคมปีนี้คงเหลือทั้งสิ้นจำนวน 274.16 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่มีแผนที่จะซื้อคืนหุ้นกู้ส่วนที่เหลือในสกุลดอลลาร์กลับมาทั้งจำนวน เพราะยังต้องการรักษาสถานะเงินสดภายในบริษัทไว้ที่ระดับ 3-3.5 หมื่นล้านบาท รวมทั้งไม่ต้องการสร้างความสับสนให้นักลงทุนผู้ถือหุ้นของบริษัท อีกทั้งปัจจุบันบริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติจากสถาบันการเงินที่พร้อมเบิกใช้อีกวงเงินรวม 4-5 หมื่นล้านบาท หากมีความต้องการจำเป็นในการใช้เงิน
สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่มีโอกาสเห็นการปรับขึ้นในอนาคต เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนการเงินของบริษัท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทได้มีการล็อกต้นทุนทางการเงินของบริษัทไว้แล้ว โดยการออกหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเแบบคงที่ (Fixed Rate) มีสัดส่วนถึงประมาณ 60-70% ของพอร์ตหนี้รวมทั้งหมดของบริษัท