กลยุทธ์ Step Out เพื่อความเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับการลงนามสัญญาในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ GC หรือบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ต่อการปรับ Portfolio เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมถึงผสานนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายใต้กลยุทธ์ของ GC คือ Step Out ลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและการแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในต่างประเทศ และกลยุทธ์ Step Up ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
เมื่อมองไปถึงศักยภาพด้านผลกำไร allnex มีรายได้ประมาณ 2 พันล้านยูโร หรือ 74,167.2 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 37.08 บาท ต่อ 1 ยูโร) โดยมี EBITDA Margin อยู่ที่ 17-19% และคาดว่า GC จะเริ่มบันทึกงบ allnex เข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 เป็นต้นไปได้ ซึ่งจะสนับสนุนให้ผลประกอบการของ GC เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เมื่อประกอบเข้ากับการที่ allnex ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 70 ปี ในการผลิตและพัฒนานวัตกรรม Coating Resins ที่ใส่ใจกระบวนผลิตทั้งด้านสภาพภูมิอากาศและการบริหารจัดการน้ำ (Climate & Water) และการดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Enhancement) จึงเป็นกลุ่ม HVB หรือ High Value Business ที่เปี่ยมได้ด้วยศักยภาพเข้ากับเมกะเทรนด์ของโลกอนาคตได้เป็นอย่างดี
allnex เจ้าของนวัตกรรม Coating Resins อันดับ 1 ของโลก
1.5 แสนล้านบาท คือมูลค่าทางธุรกิจของ allnex ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ Coating Resins กลุ่มสารเคลือบและสารเติมแต่งสำหรับใช้กับวัสดุทุกประเภท เช่น ไม้ เหล็ก พลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายโรงงานการผลิตที่ทันสมัย 33 แห่ง ใน 18 ประเทศ ศูนย์การวิจัยและเทคโนโลยีอีก 23 แห่ง มีพนักงานประมาณ 4,000 คนทั่วโลก ทำให้สามารถพัฒนานวัตกรรมการเคลือบผิวที่หลากหลาย และครอบคลุมอุตสาหกรรมหลักต่างๆ ของโลก เช่น เหล็ก ยานยนต์ และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ดีลนี้ถือเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ GC และเรียกได้ว่าเป็น Landmark Deal ที่จะทำให้ GC ก้าวสู่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ระดับโลก
งบฯ ยังแกร่ง เครดิตแน่น ปิดประตูการเพิ่มทุน
ต่อเรื่องที่อาจจะทำให้ผู้ถือหุ้นกังวลใจในการจัดหาแหล่งเงินทุนนั้น ทาง GC ออกมายืนยันว่า ดีลนี้เป็นการใช้เงินสดจากรายได้ของทางบริษัทร่วมกับการกู้เงินจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และสถาบันการเงิน
โดยสัญญาซื้อขายหุ้นได้ถูกลงนามเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 มูลค่ารวมทั้งสิ้น 4 พันล้านยูโร หรือเทียบเท่ามูลค่าประมาณ 148,417 ล้านบาท (37.08 บาท ต่อ 1 ยูโร)
เมื่อรวมเข้ากับแนวโน้มผลประกอบการในงวดไตรมาส 2/64 ที่น่าจะออกมาดีต่อเนื่อง การทำธุรกรรมบิ๊กดีลครั้งนี้จึงไม่ได้ส่งผลกับงบการเงินแต่อย่างใด และทาง GC ยังมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งมากพอในการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน จึงไม่มีความจำเป็นในการเพิ่มทุน และดูเหมือนว่าในอนาคตผลกำไรจากการปิดดีลสิ้นปี 2564 นี้ น่าจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากกว่าอีกด้วย
