เมื่อวานนี้ (25 มีนาคม) ราคาหุ้น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 12% มาปิดที่ 66.25 บาท ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นผิดปกติ +167.09% เมื่อเทียบกับ 5 วันทำการก่อนหน้า
ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่าราคาหุ้น PTTEP ปรับตัวลดลง 44% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ 120 บาท ตามราคาน้ำมันที่ปรับลดลงกว่า 50% จากอุปทานในซาอุดีอาระเบียที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่ชะลอจากโควิด-19
ราคาหุ้น PTTEP ณ ปัจจุบันทำให้เกิดคำถามว่าเสี่ยงหรือไม่ที่จะซื้อ
คาดราคาน้ำมันผันผวนไปอีก 3-6 เดือน เศรษฐกิจซบฉุดความต้องการใช้หดตัว
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่าราคาน้ำมันจะยังต่ำที่ 25-30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และยังเป็น Sideway ต่อไปอีก 3-6 เดือน หลังจากที่เกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซียในการประชุม OPEC+ ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่รัสเซียไม่เห็นด้วยกับการลดกำลังผลิตลงอีก ทำให้ซาอุดีอาระเบียตัดสินใจทำสงครามน้ำมันอีกครั้งด้วยการเพิ่มกำลังผลิตของตัวเองอีกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวันเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดน้ำมันกลับคืนมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงรุนแรงกว่า 50%
ขณะที่ บล.ฟิลลิป คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 2563 จะฟื้นตัวได้จำกัดจากเศรษฐกิจโลกที่ยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งยังส่งผลต่อเนื่องมาในปีนี้ อีกทั้งล่าสุดยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีการระบาดไปทั่วโลก ทำให้ธุรกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการเดินทางไปในที่ต่างๆ หยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อต่ออุปสงค์การใช้น้ำมันให้ลดลง โดย IEA ปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันปี 2563 มาเป็นหดตัว 90,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับปีก่อน
ห่วงปีนี้ต้องตั้งด้อยค่าและค่าความนิยมในสินทรัพย์
โดย บล.ฟิลลิป ระบุว่าราคาน้ำมันที่ปรับลงค่อนข้างมากทำให้คาดว่า PTTEP อาจต้องมีการตั้งด้อยค่าและค่าความนิยมจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ ซึ่งมีข้อบ่งชี้ว่าจะมีการด้อยค่าเกิดขึ้นอย่างเช่นที่บริษัทเคยตั้งในไตรมาส 3/58 ที่ 1,385 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในปีดังกล่าวราคาน้ำมันปรับลงในทิศทางเดียวกับที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจำนวนการตั้งด้อยค่าในสินทรัพย์คงมีจำนวนไม่มากอย่างเช่นในปีดังกล่าว
หั่นกำไรปี 2563 ลง 50% ตามราคาน้ำมัน พร้อมคาดว่าราคาน้ำมันจะฟื้นตัวในอีก 6 เดือนข้างหน้า
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ได้ปรับลดกำไรสุทธิปี 2563-2564 ลง 50% และ 60% โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลง 50% เหลือ 19,381 ล้านบาท และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ลง 60% เหลือ 15,532 ล้านบาท จากสมมติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ 42 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (เดิม 62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ 64 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล) ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาน้ำมันน่าจะค่อยๆ ฟื้นกลับมาที่ระดับ New Normal ที่ 35-40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ถ้ารัสเซียกับซาอุดีอาระเบียยังไม่สามารถกลับมาเจรจากันได้ แต่ถ้ารัสเซียกับซาอุดีอาระเบียกลับมาตกลงกันได้ น้ำมันจะฟื้นเร็วกว่าคาด และจะกลับมาที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้
หั่นราคาเหมาะสมปีนี้ลง 50% แต่แนะทยอยซื้อหลังราคาสะท้อนข่าวลบแล้ว
จากการรวบรวมราคาเหมาะสมของ PTTEP ในปีนี้ พบว่านักวิเคราะห์ทุกสำนักต่างปรับลดราคาเหมาะสมของ PTTEP ลงเกือบ 50% จากเป้าหมายก่อนหน้า และคำแนะนำส่วนใหญ่คือ ‘ซื้อ’
โดย บล.ฟิลลิป ให้เหตุผลว่าแม้ระยะสั้นราคาหุ้น PTTEP ยังจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับลงอย่างต่อเนื่องจากสมมติฐานราคาน้ำมันที่ปรับลงทุกๆ 5 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ราคาพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปราว 6-7 บาทต่อหุ้น แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายปัจจุบันสะท้อนข่าวของการลดลงของราคาน้ำมันไปค่อนข้างมากแล้ว และมองว่าการลดลงของราคาหุ้นจะมีจำกัด (Downside) ณ ราคาปัจจุบัน จึงแนะนำ ‘ทยอยซื้อ’ ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 57 บาท
เช่นเดียวกับ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ที่มองว่าราคาหุ้น PTTEP ได้สะท้อนราคาน้ำมันไปแล้ว ประเมินระดับราคาน้ำมัน Worst Case ที่ 20-25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขาย EV/EBITDA ที่ -2SD ทำให้มี Risk Reward ในระดับที่น่าสนใจ จึงแนะนำซื้อราคาเป้าหมายที่ 70 บาท อิง DCF (WACC 9%, TG 0%) ยังมีความเสี่ยงของความผันผวนของราคาน้ำมันในช่วง 3-6 เดือนนี้
แม้ PTTEP จะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันที่น่าจะขึ้นๆ ลงๆ ไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน แต่อย่างที่นักวิเคราะห์ทุกสำนักลงความเห็นว่าราคาหุ้น PTTEP เวลานี้สะท้อนข่าวลบของราคาน้ำมันไปแล้ว หากเทียบกับอัพไซด์ใหม่ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ก็ยังมีส่วนต่างให้ลุ้นพอสมควร
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์