ปตท. เผยผลประกอบการไตรมาส 1/66 เป็นไปตามเป้า โดยมีกำไร 2.78 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% เนื่องจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลงกว่าหมื่นล้านบาท อีกทั้งกำไรจากขายปลีกน้ำมันและไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่ยอดขายรวมอยู่ที่ 7.5 แสนล้านบาท ลด 0.2% ตามราคาน้ำมันในตลาดโลก พร้อมระบุใช้งบกว่า 2 หมื่นล้านบาท ฟื้นฟูประเทศหลังโควิด
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. หรือ PTT เปิดเผยว่า จากปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบในกลุ่มประเทศ OPEC และชาติพันธมิตร จนถึงสิ้นปี 2566 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ส่งผลให้ไตรมาส 1/66 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 756,690 ล้านบาท ลดลง 0.2% จากไตรมาส 1/65 ที่มีรายได้ 758,456 ล้านบาท
ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) อยู่ที่ 104,008 ล้านบาท ลดลง 36,904 ล้านบาท หรือ 26.2% จากไตรมาส 1/65 ที่จำนวน 140,912 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ซึ่งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท. ลดลงประมาณ 11,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง เช่น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซ ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีในตลาดที่ใช้อ้างอิง ประกอบกับปริมาณการขายลดลงและต้นทุนค่าเนื้อก๊าซสูงขึ้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ที่ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65
ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาส 1/66 มีกำไรสุทธิจำนวน 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,063 ล้านบาท หรือ 12.4% จากไตรมาส 1/65 ที่จำนวน 24,792 ล้านบาท
ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและประเทศให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563-2565 ได้ใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของภาคประชาชนจากวิกฤตโควิด และสงครามรัสเซีย-ยูเครน เช่น การสำรองน้ำมัน 4 ล้านบาร์เรล, การตรึงราคา NGV, การช่วยเหลือราคา LPG แก่หาบเร่แผงลอยผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ และการขยายเทอมการชำระเงินแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า Ft เป็นต้น
ทั้งนี้ ปตท. เร่งเดินหน้ากลยุทธ์ ‘ปรับ เปลี่ยน ปลูก’ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2583 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 ด้วยการทำงานเชิงรุก ปรับกระบวนการผลิต พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมเปลี่ยนสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการปลูกป่าเพิ่ม 1 ล้านไร่ภายในปี 2573 ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อการมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า ส่งเสริมอาชีพ และรายได้ของชุมชนในพื้นที่ ในอนาคตพื้นที่ป่าเหล่านี้จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 4.15 ล้านตันต่อปี
“ปตท. มุ่งมั่นดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สนับสนุนการใช้พลังงานแห่งอนาคต สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ พร้อมศึกษาพลังงานไฮโดรเจนและพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพลิกฟื้นผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์ นำพาประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ได้อย่างยั่งยืนต่อไป” อรรถพลกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- PTT – พรีวิวงบ 3Q65 คาดกำไรลดลง
- PTTEP – 3Q65 กำไรสุทธิสูงกว่าคาด เพราะรายการพิเศษ
- ‘PTT’ เน้นกลยุทธ์ ‘3P’ ขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู้เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050