บมจ.ปตท. หรือ PTT ชี้แจงข่าวกรณีที่กองทุนถอนลงทุนใน PTT กับบริษัทในเครือจากประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในเมียนมา โดยยืนยันว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทได้ดำเนินตามหลักการเคารพด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมาอย่างเคร่งครัด
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่มีข่าวว่า มีกองทุนได้ประกาศถอนการลงทุนในบริษัทและบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมานั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘โออาร์’ ชะลอลงทุนเมียนมา ยอมรับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ขายหุ้น PTT-OR ทิ้ง เหตุเอี่ยวกองทัพเมียนมาละเมิดสิทธิมนุษยชน
- นอร์เวย์เอาจริง! กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติปักธง Net Zero ให้ทุกบริษัทที่เข้าลงทุนจ่อขายหุ้นทิ้งหากหลุดเป้าหมาย
- PTTEP – 3Q65 กำไรสุทธิสูงกว่าคาด เพราะรายการพิเศษ
ทั้งนี้ ปตท. ขอเรียนชี้แจงว่า ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. ทั้งในส่วนที่ ปตท. ดำเนินการเอง และลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการกำกับดูแล โดยมีการบูรณาการหลักสิทธิมนุษยชน ครอบคลุมสายโซ่อุปทานของบริษัท ตั้งแต่การตรวจสอบอย่างรอบด้าน การบริหารจัดการ ตลอดจนส่งเสริม ปกป้อง และให้ความเคารพด้านสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ ในการพิจารณาการลงทุนของ ปตท. นั้นได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่มีการบังคับใช้ รวมถึงมีการตรวจสอบและวิเคราะห์สถานะของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
อีกทั้ง ปตท. ยึดถือการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน และมีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมาภายหลังการรัฐประหารปี 2564 โดยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาวิกฤตอย่างสันติและเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎหมาย แนวปฏิบัติสากลในทุกพื้นที่ปฏิบัติการ รวมถึงการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงกระบวนการในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ
เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งพลังงานได้อย่างเท่าเทียม ปตท. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะคลี่คลายและกลับคืนสู่สภาวะปกติในเร็ววัน
ด้าน ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หรือ ‘โออาร์’ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า OR เข้าร่วมลงทุนในเมียนมา ผ่านบริษัทร่วมทุน Brighter Energy (BE) ในปี 2562 โดยถือหุ้นในสัดส่วน 35% เพื่อประกอบธุรกิจค้าส่งและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยอยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างคลังเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเพื่อดำเนินกิจการในเมียนมา
สำหรับการลงทุนดังกล่าวมุ่งสร้างและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนชาวเมียนมา ระหว่างปี 2564 ได้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและความไม่สงบในเมียนมา รวมทั้งมีมาตรการคว่ำบาตร (Sanctions) จากหลายประเทศ OR ได้แสดงเจตนารมณ์ในฐานะผู้ถือหุ้นข้างน้อยให้ BE หยุดการดำเนินการก่อสร้างคลัง โดย OR จะไม่ชำระเงินทุนเพิ่มเติม และ BE จะต้องไม่ชำระเงินให้แก่บุคคลใดๆ ที่อยู่ใน Sanctions List โดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ OR ได้ยึดถือและดำเนินการตามแนวทางและนโยบายอย่างเคร่งครัดที่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการดำเนินกิจการของ BE ในเมียนมา อีกทั้งได้ยึดมั่นในการปฏิบัติตามแนวนโยบายการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล โดยปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด รวมถึงปฏิบัติตามหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ ซึ่งมีมูลค่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัดสินใจถอนการลงทุนบริษัท Cognyte Software Ltd ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยและการวิเคราะห์ในอิสราเอล, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ของประเทศไทย โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่กองทุนยอมรับไม่ได้เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทั้งนี้หลังจากมีกระแสข่าวเกิดขึ้น ราคาหุ้น PTT ช่วง 5 วันทำการช่วงวันที่ 16, 19-22 ธันวาคม โดยล่าสุดวันนี้ 22 ธันวาคม PTT มีราคาต่ำสุดอยู่ที่ 31 บาทต่อหุ้น ลดลงไป 1.59% จากราคาปิดวันที่ 15 ธันวาคม ที่ราคาปิดที่ 31.50 บาท ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะมีข่าวเกิดขึ้น
ส่วนราคาหุ้น OR ช่วงล่าสุดวันนี้ (22 ธันวาคม) OR มีราคาต่ำสุดอยู่ที่ 22.80 บาทต่อหุ้น ลดลงไป 5.4% โดยราคาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปิดตลาดทำจุดต่ำสุด ที่ระดับ 22.80 บาท ตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่มีราคา IPO ที่หุ้นละ 18 บาท