กลุ่ม ปตท. เดินหน้าลงทุนในธุรกิจใหม่เพื่อให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศ และเท่าทันความต้องการของผู้บริโภคในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมสรุปการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID: Final Investment Decision) ในธุรกิจที่ร่วมทุนกับ Foxconn กลางปี 2565 หากได้ข้อสรุปที่น่าพึงพอใจสำหรับทุกฝ่าย จะเริ่มสร้างโรงงานผลิตแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2566 ส่วนธุรกิจพลังงานซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิม ยังมีแนวโน้มเติบโตในปี 2565
ธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ. ปตท. หรือ PTT ร่วมงาน Opportunity Day และเปิดเผยข้อมูลว่า กลุ่ม ปตท. ยังเดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตามนโยบาย Future Energy, Beyond Energy และ Renewable Energy โดยความคืบหน้าโครงการสำคัญคือ โครงการ Electric Vehicle หรือ EV ซึ่งได้ร่วมลงทุนกับ Foxconn นั้น จะมีการประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในช่วงกลางปี 2565 ซึ่งหาก FID ได้ จะจัดตั้งสร้างโรงงานผลิตแพลตฟอร์มของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 2566 ซึ่งมีกำลังการผลิต 50,000 คัน และทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 คันในปี 2573
สำหรับแนวคิดการรับสกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซีในการชำระค่าสินค้าและบริการนั้น ปัจจุบัน กลุ่ม ปตท. อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของภาครัฐด้วย ซึ่งกลุ่ม ปตท. จะต้องไปพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อประเมินว่าจะสามารถอนุญาตให้ใช้ได้หรือไม่
ขณะที่ธุรกิจพลังงานดั้งเดิมนั้น ประเมินว่ายังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปี 2565 โดยมี Guidance แบ่งตามประเภทธุรกิจดังนี้
- ธุรกิจผลิตและสำรวจจะเติบโตจากราคาขายที่มีทิศทางบวกตามจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงต้นทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
- ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ความต้องการในปี 2565 จะฟื้นตัวเล็กน้อยจากปีนี้ และการเติบโตของ Gas Demand ช่วง 5 ปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3% ขณะที่ต้นทุนก๊าซในปี 2565 คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามราคาทิศทางราคาน้ำมันเตาที่เพิ่มสูงขึ้น และ LNG Spot ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
- ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน คาดการณ์ว่าปริมาณการขายฟื้นตัว จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศ รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ธุรกิจโรงกลั่น (Refinery) จะฟื้นตัวจากปีนี้ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึง Singapore GRM ที่ดีขึ้น โดย Utilization Rate ของกลุ่ม ปตท. ในปีหน้าคาดการณ์ไว้ที่ 94-97% ใกล้เคียงกับปีนี้ที่อยู่ในระดับ 95%
- ธุรกิจโรงไฟฟ้า คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่ฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
- ธุรกิจกลุ่ม New Energy ตัวอรุณพลัส (Arun+) ที่ดำเนินธุรกิจ EV Charger จะมีการติดตั้ง Charger เพิ่มขึ้นประมาณ 1,350 ยูนิต และ OR ตั้งเป้าขยาย EV Charger 200 สถานี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่จะมี EV Charger ในสถานีบริการ 300 สถานีในปี 2565 นอกจากนี้ การลงทุนใน FID กับ Foxconn จะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจนี้ในระยะยาว
ธนพลกล่าวเพิ่มว่า สำหรับราคาปิโตรเลียมในปี 2565 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ เนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฉีดวัคซีน การป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด โดยในปี 2565 ประเมินว่าหลายประเทศจะกำหนดให้โควิดเป็นเพียงโรคประจำถิ่นเท่านั้น หลังจากบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนแล้ว
ขณะเดียวกัน วิกฤตพลังงานและการขาดแคลนถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจะผลักดันให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าผู้ผลิตไฟฟ้าจะปรับเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้ามากขึ้น เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในประเทศจีน อินเดีย และยุโรป
สำหรับฝั่งอุปทานในปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตามแผนการผลิตของ OPEC และทางฝั่งของสหรัฐฯ ที่จะมีการผลิตมากขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ ปตท. คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบสำหรับปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 71-76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 68-73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบด้วย ด้านตัว Singapore GRM ในปี 2565 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4-5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3-4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนราคา LNG นั้น คาดการณ์ราคาเฉลี่ย Asian Spot LNG ในปี 2565 จะอยู่ที่ 17.8 ดอลลาร์ต่อ MMBTU เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดจะอยู่ที่ 15.5 ดอลลาร์ หลักๆ มาจาก Inventory ของ Gas ในยุโรปที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงมีความต้องการเพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงฤดูหนาว รวมถึงเทรนด์การเปลี่ยนจากการใช้พลังงานฟอสซิลมาใช้พลังงานสะอาดซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้มีความต้องการใช้ LNG เพิ่มสูงขึ้น
ด้านราคาปิโตรเคมี ทั้ง Olefins และ Aromatics ในปี 2565 คาดว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยทุกผลิตภัณฑ์ ยกเว้นตัว PX เมื่อเทียบกับปีนี้ โดยเป็นผลจากอุปทานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายไตรมาส 4/64 ถึงกลางปี 2565 รวมถึงการส่งออกของสหรัฐฯ มายังเอเชียที่จะเพิ่มมากขึ้น ความไม่แน่นอนของนโยบายของรัฐบาลจีนที่ควบคุมพลังงานและอุปทานภายในประเทศ รวมถึงการจำกัดโควตาการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และกดดันแนวโน้มตลาดเอเชีย
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP