บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่ามากที่สุดของไทย แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ากำไรสุทธิของบริษัทหดตัวอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยทำได้สูงถึง 1.35 แสนล้านบาทเมื่อปี 2560 ล่าสุดกำไรสุทธิลดลงมาเหลือเพียง 3.77 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ที่ผ่านมา
แรงกดดันต่อกำไรของ PTT ส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นราคาน้ำมันดิบโลกที่อยู่ในทิศทางขาลงมาตั้งแต่ปลายปี 2561 อย่างราคาของน้ำมัน WTI ซึ่งเคยอยู่ที่ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงมาแตะระดับ 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเดือนเมษายน 2563 พร้อมกับมีหนึ่งวันที่เกิด Panic จนกดให้ราคาน้ำมันติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของ PTT ในปี 2564 ดูเหมือนจะสดใสขึ้นมากจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตัวบ่งชี้หลักก็คงจะหนีไม่พ้นราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดสามารถพุ่งขึ้นมาแตะระดับ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง
ราคาน้ำมัน WTI ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
พรรณพร ศาสนนันท์ ผู้จัดการฝ่ายแผนกลยุทธ์การเงินองค์กรและฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ปตท (PTT) เปิดเผยว่าในปีนี้ IHS Markit ประเมินว่าความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะอยู่ที่ 96.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 91 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ ในขณะเดียวกันอุปทานก็ลดลง ทำให้ปีนี้ PTT คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 55-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเฉลี่ยปีก่อนที่ 42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
“ราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่างๆ น่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะโอเลฟิน ซึ่งหลังจากที่มีการกระจายวัคซีนและการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ทำให้มีความต้องการใช้อุปกรณ์การแพทย์และพลาสติกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความกดดันอยู่ด้วยจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากจีนและเกาหลีใต้”
สำหรับราคาของ HDPE คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 11% ส่วน PPE จะเพิ่มขึ้น 17% เช่นเดียวกับเบนซินที่ราคาจะเพิ่มขึ้น 40% ส่วนพาราไซลีนน่าจะเพิ่มขึ้น 26% ด้านโรงกลั่นในปีนี้ก็น่าจะฟื้นตัวได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่จะกลับมาอยู่ระดับ 97-99% โดยค่าการกลั่นน่าจะอยู่ที่ 1.5-2.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) คาดว่าปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.4% ในขณะที่ต้นทุนของปีนี้น่าจะลดลง 6% ไปในทิศทางเดียวกันกับธุรกิจสำรวจและผลิต (PTTEP) ซึ่งคาดว่าต้นทุนจะลดลง 5% ในขณะที่ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้น 12% ในปีนี้
ด้านธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกตั้งเป้าเพิ่มสถานีบริการอีก 108 สาขา ส่วนสาขาของ Cafe Amazon จะเพิ่มอีก 418 สาขาในปีนี้
สำหรับงบลงทุนที่ PTT อนุมัติว่าจะใช้ในช่วง 5 ปีข้างหน้ารวมอยู่ที่ 1.03 แสนล้านบาท โดยหลักประมาณ 64% ยังเป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ขณะที่อีก 26% จะเป็นการลงทุนผ่านบริษัทย่อย และอีก 10% จะเป็นการลงทุนในส่วนของเทคโนโลยีและวิศกรรม รวมถึงเป็นงบลงทุน Venture Capital